1
ถาม-ตอบปัญหากฎหมาย / ผมมีสิทธิ์แค่ไหนในทรัพย์สิน
« เมื่อ: กันยายน 23, 2018, 01:58:28 pm »
วัสดีครับ
ผมนายสุพัฒน์ กองทรัพย์
ผมมีเรื่องอยากรบกวนปรึกษากับทนายครับ
ผมได้อยู่กินกับภรรยา โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เป็นเวลา 10 ปี เริ่มต้นสร้างฐานะมาด้วยกัน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เราได้ปรึกษากันกู้เงินมาลงทุนสร้างรีสอร์ท บ้านพักให้คนเช่ารายวัน จากธนาคารออมสิน เป็นเงิน 3,800,000 บาท เพื่อมาสร้าง บ้านพักจำนวน 25 หลัง และ ออฟฟิศอีก 1 บนเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวาซึ่งผมเป็นคนกู้ และเขาเป็นคนค้ำ และก่อนหน้านั้นทางฝ่ายภรรยาก็ได้กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มาด้วยส่วนหนึ่ง เขาแจ้งว่า ประมาณ 4 ล้าน แต่ไม่ได้นำมาลงทุนในส่วนนี้ทั้งหมด โดยทางภรรยาเป็นคนจัดการดูแล กิจการตรงนี้ทั้งหมด และเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2560 ผมและทางภรรยาได้แยกทางกัน เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 ทางธนาคารออมสินแจ้งมาว่าผมไม่ได้ชำระเงินกับทางธนาคารมาตั่งแต่เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ขอให้ผมไปชำระหนี้ ผมต้องไปชำระหนี้ เป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท แทน (ปรับโครงสร้างหนี้มาสองรอบ) เพื่อชะลอการยึดจากทางธนาคาร เพราะเราได้ปรึกษากันว่า เงินชำระหนี้ธนาคารออมสิน จะเอารายได้จากทางโรงแรมที่เปิดกิจการแล้วมาชำระตรงส่วนนี้ ผมและทางธนาคารออมสินได้สอบถามไปทางภรรยา เขาบอกว่า ไม่จ่าย ถึงจ่ายไปก็ไม่ได้อะไร ผมไม่คิดว่าเขาจะตอบแบบนี้ ทั้งที่ โฉนดที่ดิน มีสองชื่อ ผมและภรรยา จดทะเบียนการค้ารีสอร์ทก็เป็นชื่อภรรยา เพราะผมต้องรับผิดชอบส่งค่างวดรถ และหนี้ที่กู้จากธนาคารกรุงศรีก่อนที่จะมากู้ออมสิน(จำนวนเงินส่วนนี้ไม่ได้นำมาสร้างรีสอร์ทเพราะตอนอยู่กันกับภรรยาใหม่ ๆ บ้านแม่ภรรยากำลังจะถูกธนาคารยึดผมและภรรยาจึงทำการกู้ เพื่อนำบ้านที่จำนองกับธนาคารออกมา และผมเป็นคนจ่ายชำระมาตลอดเกือบสิบปี) จำนวน 1,200,000 บาท ไม่รวมดอกเบี้ย กู้จากธนาคารเกียรตินาคินอีกเพื่อนำมาใช้ในรีสอร์ทอีก(ผมก็เป็นคนจ่ายมาตลอดจนหมดแล้วทั้งสองธนาคาร) 190,000 บาทไม่รวมดอกเบี้ย และต้องผ่อนค่างวดรถอีก ซึ่งรถยนต์ผมเป็นคนผ่อนแต่ภรรยาเป็นคนเอาไปใช้ เราทำงานอยู่คนละที่ครับ
ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยา ผมจะมีสิทธิ์ตรงส่วนนี้หรือไม่ครับ เพราะเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ผมได้ปรึกษาทนายความเพื่อยื่นฟ้องแบ่งทรัพย์สิน ขึ้นศาลครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เพื่อไกล่เกลี่ยหาข้อตกลงร่วมกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ นัดขึ้นศาลครั้งที่ 2 วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ ทางศาล(ผู้พิพากษา)บอกว่าทรัพย์สินส่วนโรงแรม นั้นผมต้องหาหลักฐานพยานมายืนยันว่าผมได้นำเอาเงินมาลงทุนเท่าไหร่ เพราะเราทำมาหากินร่วมกันมา .ผมให้เขาเป็นคนบริหาร ที่ดินผมก็มีส่วนครึ่งหนึ่งและมีชื่อของผมด้วย ผมมีชื่อเป็นเจ้าบ้านที่รีสอร์ทที่สร้างขึ้นมาด้วย และผมเป็นคนยื่นกู้กับทางธนาคารออมสินด้วย ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้อะไรบ้างเลยเหรอครับ
มจึงอยากเรียนปรึกษา ว่าผมควรต้องทำยังไง ต่อไปดีครับ ผมเสียเปรียบทุกอย่างเลยครับ ทางทนายที่ผมจ้างก็ช่วยผมไม่ได้เลยครับ วันที่ 8 ตุลาคม 2561 จะต้องขึ้นศาลอีกรอบ ครับ หากผมไม่ตกลงตามที่ทางศาลแนะนำ ก็จะสืบพยานต่อวันนั้นเลยครับ ผมมีหลักฐาน แค่เอกสารที่กู้กับธนาคารออมสิน เพราะผมไว้ใจเขา ให้เขาทุกอย่าง ยังเลี้ยงดูลูกเขาด้วยอีก 2คน จนจบปริญญาตรี หลักฐานผมมีแค่ไหนผมก็จะได้คืนแค่นั้น ในส่วนอื่นไม่เอามาคิด
วันที่ขึ้นศาลครั้งที่ 2 ผู้พิพากษา แนะนำผมว่า หนี้สินทุกอย่างที่ผมชำระไป ไม่รวมดอกเบี้ยเอามารวมกัน แล้วหารสอง
ผมจะได้รับเงินเป็นจำนวน 900,000 บาท ซึ่งทางฝ่ายนู้นจะยอมหรือไม่ยังไม่รู้ และทางเขาจะเอาเงินไปปิดหนี้ที่ธนาคารออมสินที่เหลือประมาณสองล้านเก้า และผมต้องเซ็นยกทุกอย่างให้กับภรรยาผม แล้วเงินกู้ที่กู้นอกระบบที่เอามาอุดรีสอร์ทเพิ่มรวมเวลา สามปีกว่าเขาไม่ได้จ่าย ทั้งที่คุยกันแล้วว่าจะเอาส่วนรายได้จากรีสอร์ทมาจ่าย ตอนนี้ ยอดจากยอดกู้ 200,000 บาท ตอนนี้ยอดอยู่ที่ 600,000 กว่า บาท เพราะเขาไม่ยอมส่งเลยครับ ผมเป็นคนส่งดอกปีแรกเอง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ส่งต่อ ตรงส่วนนี้ผมก็ไปเรียกเอากับเขาไม่ได้ คนที่เดือดร้อนคือผมครับ ผมคิดว่าแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับผม และผมไม่ได้รับความเป็นธรรมครับ ถ้าเป็นไปตามที่ศาลแนะนำนี้ผมก็ไม่เหลืออะไร มีรถที่ผมเอามาจากที่เอามาผ่อนต่อ และร้านมือถือเล็ก ๆ ที่ผมทำงานและใช้เครดิตในการกู้เงิน ขึ้นมาสร้างฐานะ เอกสารการกู้กับทางธนาคารออมสินมีครบ
ช่วยให้คำแนะนำผมด้วยครับ ผมต้องทำยังต่อไปดีครับ ผมเครียดมากครับ
ผมขอขอบคุณล่วงหน้าครับผม ขอบคุณมากๆ ครับ
เอกสารบางส่วนครับ
ช่วยด้วยครับถ้าตามที่ดูเหตุการณ์ ผม ก็ต้องย้ายออกจากบ้านเลขที่ 331 ต.หางดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ซึ่งผมเป็นเจ้าบ้านเอง ยังไม่รู้จะอยู่ไหน ร้านผมยังต้องเช่าเขาอยู่ที่ อ.อมก๋อย
รอความหวังครับ
ผมนายสุพัฒน์ กองทรัพย์
ผมมีเรื่องอยากรบกวนปรึกษากับทนายครับ
ผมได้อยู่กินกับภรรยา โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เป็นเวลา 10 ปี เริ่มต้นสร้างฐานะมาด้วยกัน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เราได้ปรึกษากันกู้เงินมาลงทุนสร้างรีสอร์ท บ้านพักให้คนเช่ารายวัน จากธนาคารออมสิน เป็นเงิน 3,800,000 บาท เพื่อมาสร้าง บ้านพักจำนวน 25 หลัง และ ออฟฟิศอีก 1 บนเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวาซึ่งผมเป็นคนกู้ และเขาเป็นคนค้ำ และก่อนหน้านั้นทางฝ่ายภรรยาก็ได้กู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มาด้วยส่วนหนึ่ง เขาแจ้งว่า ประมาณ 4 ล้าน แต่ไม่ได้นำมาลงทุนในส่วนนี้ทั้งหมด โดยทางภรรยาเป็นคนจัดการดูแล กิจการตรงนี้ทั้งหมด และเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2560 ผมและทางภรรยาได้แยกทางกัน เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 ทางธนาคารออมสินแจ้งมาว่าผมไม่ได้ชำระเงินกับทางธนาคารมาตั่งแต่เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ขอให้ผมไปชำระหนี้ ผมต้องไปชำระหนี้ เป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท แทน (ปรับโครงสร้างหนี้มาสองรอบ) เพื่อชะลอการยึดจากทางธนาคาร เพราะเราได้ปรึกษากันว่า เงินชำระหนี้ธนาคารออมสิน จะเอารายได้จากทางโรงแรมที่เปิดกิจการแล้วมาชำระตรงส่วนนี้ ผมและทางธนาคารออมสินได้สอบถามไปทางภรรยา เขาบอกว่า ไม่จ่าย ถึงจ่ายไปก็ไม่ได้อะไร ผมไม่คิดว่าเขาจะตอบแบบนี้ ทั้งที่ โฉนดที่ดิน มีสองชื่อ ผมและภรรยา จดทะเบียนการค้ารีสอร์ทก็เป็นชื่อภรรยา เพราะผมต้องรับผิดชอบส่งค่างวดรถ และหนี้ที่กู้จากธนาคารกรุงศรีก่อนที่จะมากู้ออมสิน(จำนวนเงินส่วนนี้ไม่ได้นำมาสร้างรีสอร์ทเพราะตอนอยู่กันกับภรรยาใหม่ ๆ บ้านแม่ภรรยากำลังจะถูกธนาคารยึดผมและภรรยาจึงทำการกู้ เพื่อนำบ้านที่จำนองกับธนาคารออกมา และผมเป็นคนจ่ายชำระมาตลอดเกือบสิบปี) จำนวน 1,200,000 บาท ไม่รวมดอกเบี้ย กู้จากธนาคารเกียรตินาคินอีกเพื่อนำมาใช้ในรีสอร์ทอีก(ผมก็เป็นคนจ่ายมาตลอดจนหมดแล้วทั้งสองธนาคาร) 190,000 บาทไม่รวมดอกเบี้ย และต้องผ่อนค่างวดรถอีก ซึ่งรถยนต์ผมเป็นคนผ่อนแต่ภรรยาเป็นคนเอาไปใช้ เราทำงานอยู่คนละที่ครับ
ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยา ผมจะมีสิทธิ์ตรงส่วนนี้หรือไม่ครับ เพราะเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ผมได้ปรึกษาทนายความเพื่อยื่นฟ้องแบ่งทรัพย์สิน ขึ้นศาลครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เพื่อไกล่เกลี่ยหาข้อตกลงร่วมกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ นัดขึ้นศาลครั้งที่ 2 วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ ทางศาล(ผู้พิพากษา)บอกว่าทรัพย์สินส่วนโรงแรม นั้นผมต้องหาหลักฐานพยานมายืนยันว่าผมได้นำเอาเงินมาลงทุนเท่าไหร่ เพราะเราทำมาหากินร่วมกันมา .ผมให้เขาเป็นคนบริหาร ที่ดินผมก็มีส่วนครึ่งหนึ่งและมีชื่อของผมด้วย ผมมีชื่อเป็นเจ้าบ้านที่รีสอร์ทที่สร้างขึ้นมาด้วย และผมเป็นคนยื่นกู้กับทางธนาคารออมสินด้วย ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้อะไรบ้างเลยเหรอครับ
มจึงอยากเรียนปรึกษา ว่าผมควรต้องทำยังไง ต่อไปดีครับ ผมเสียเปรียบทุกอย่างเลยครับ ทางทนายที่ผมจ้างก็ช่วยผมไม่ได้เลยครับ วันที่ 8 ตุลาคม 2561 จะต้องขึ้นศาลอีกรอบ ครับ หากผมไม่ตกลงตามที่ทางศาลแนะนำ ก็จะสืบพยานต่อวันนั้นเลยครับ ผมมีหลักฐาน แค่เอกสารที่กู้กับธนาคารออมสิน เพราะผมไว้ใจเขา ให้เขาทุกอย่าง ยังเลี้ยงดูลูกเขาด้วยอีก 2คน จนจบปริญญาตรี หลักฐานผมมีแค่ไหนผมก็จะได้คืนแค่นั้น ในส่วนอื่นไม่เอามาคิด
วันที่ขึ้นศาลครั้งที่ 2 ผู้พิพากษา แนะนำผมว่า หนี้สินทุกอย่างที่ผมชำระไป ไม่รวมดอกเบี้ยเอามารวมกัน แล้วหารสอง
ผมจะได้รับเงินเป็นจำนวน 900,000 บาท ซึ่งทางฝ่ายนู้นจะยอมหรือไม่ยังไม่รู้ และทางเขาจะเอาเงินไปปิดหนี้ที่ธนาคารออมสินที่เหลือประมาณสองล้านเก้า และผมต้องเซ็นยกทุกอย่างให้กับภรรยาผม แล้วเงินกู้ที่กู้นอกระบบที่เอามาอุดรีสอร์ทเพิ่มรวมเวลา สามปีกว่าเขาไม่ได้จ่าย ทั้งที่คุยกันแล้วว่าจะเอาส่วนรายได้จากรีสอร์ทมาจ่าย ตอนนี้ ยอดจากยอดกู้ 200,000 บาท ตอนนี้ยอดอยู่ที่ 600,000 กว่า บาท เพราะเขาไม่ยอมส่งเลยครับ ผมเป็นคนส่งดอกปีแรกเอง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ส่งต่อ ตรงส่วนนี้ผมก็ไปเรียกเอากับเขาไม่ได้ คนที่เดือดร้อนคือผมครับ ผมคิดว่าแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับผม และผมไม่ได้รับความเป็นธรรมครับ ถ้าเป็นไปตามที่ศาลแนะนำนี้ผมก็ไม่เหลืออะไร มีรถที่ผมเอามาจากที่เอามาผ่อนต่อ และร้านมือถือเล็ก ๆ ที่ผมทำงานและใช้เครดิตในการกู้เงิน ขึ้นมาสร้างฐานะ เอกสารการกู้กับทางธนาคารออมสินมีครบ
ช่วยให้คำแนะนำผมด้วยครับ ผมต้องทำยังต่อไปดีครับ ผมเครียดมากครับ
ผมขอขอบคุณล่วงหน้าครับผม ขอบคุณมากๆ ครับ
เอกสารบางส่วนครับ
ช่วยด้วยครับถ้าตามที่ดูเหตุการณ์ ผม ก็ต้องย้ายออกจากบ้านเลขที่ 331 ต.หางดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ซึ่งผมเป็นเจ้าบ้านเอง ยังไม่รู้จะอยู่ไหน ร้านผมยังต้องเช่าเขาอยู่ที่ อ.อมก๋อย
รอความหวังครับ