การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (การบำบัดฯ)

  ขอสรุปหลัการย่อๆ ดังนี้คือ  เมื่อถูกจับ พงส.จะส่งผู้ต้องหาต่อศาลภายใน 48 ชม.(อายุไม่ถึง 18 ปี ส่งภายใน 24 ชม.)...ศาลจะใช้ดุลพินิจฯ  อาจให้พิจารณาคดีตามปกติ หรือมีคำสั่งให้ตรวจพิสูจน์  โดยมีคณะกรรมการฯ ตรวจพิสูจน์ ทำประวัติ  ถ้าไม่ปรากฏเป็นผู้เสพหรือติดยา   ก็ส่งผู้ต้องหาคืน พงส.เพื่อสอบสวน สรุปสำนวน ส่งอัยการ ส่งฟ้องศาล หรือสั่งไม่ฟ้องแล้วแต่กรณี....แต่ถ้าผลการตรวจพิสูจน์ว่า เป็นผู้เสพฯ/ติดยา  ก็ส่งเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูฯ(บำบัด)   ถ้าไม่ผ่าน จะรายงานอัยการ เพื่อสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องแล้วแต่กรณี...แต่ถ้าการฟื้นฟูผ่านฯ  ก็ถือว่าพ้นจากความผิดที่ถูกกล่าวหา  ก็ส่งตัวคืนสู่ชุมชนติดตามดูแลโดยชุมชน   และแจ้งผล ต่ออัยการ....

แจ้งข้อเท็จจริง

  ก็ใช้วิธีเปิดเผยของเท็จจริงจนครบถ้วน และได้มีการแก้ไขเยียวยาอย่างไร  น่าจะพอช่วยแก้ไขได้บ้าง  ถ้าจะไปเอาผิดกับคนแสดงความเห็น  อาจจะไม่คุ้ม...ถ้าเราแถลงข้อเท็จจริงจนครบถ้วนแล้ว ยังเล่นไม่เลิกก็ค่อยว่ากันอีกที...

ปัญหาโลกแตก

  ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านผู้ถามว่า  มีความวิตกกังวลกับชีวิตสังคมรอบข้าง และพฤติกรรมของคนใกล้ชิด ที่ติดยา และมีพฤติกรรม ที่ไม่น่าไว้วางใจ อาจถูกทำร้าย ถูกข่มขู่ ถูกฆ่า ฯ  ซึ่งเรื่องแบบนี้ ก็มีวิธีการลงโทษ  ในรูปแบบต่างๆมากมาย  สุดท้ายก็คงได้รับการปล่อยตัว ออกสู่สังคม  ด้วยเหตุและปัจจัยตามกฎหมายมากมาย ซึ่งสุจริตชน ได้พบได้เห็น ก็ย่อมวิตกกังวล   อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้....สาธุชน  มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมโลก  กับคนบ้า คนเมา  คนติดยา   นักเลงหัวไม้ ฯ    ก็ต้องฝึกวิชาการเอาตัวไปวันๆ เข้าทำนองรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง มีคำกล่าวของผู้สันทัดกรณีไว้  ว่า  "ผู้ดีเดินตรอก  ขี้ครอกเดินถนน" หรือ "กระเบื้องเฟื่องฟูลอย  น้ำเต้าน้อยจะถอยจม"  ก็สรุปง่ายๆ ก็คือ คนดี ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ตามซอกตามมุม เพื่อเอาตัวรอด   ส่วนคนชั่วเดินกร่างในสังคม ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ให้ต้องเปลืองตัว  ก็เห็นประจักษ์กันมากมายในสังคมปัจจุบัน  ที่ขึ้นหัวข้อว่า "ปัญหาโลกแตก"  เพราะเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ลำบาก  ด้วยความปรารถนาดี ครับ

กรรมสิทธิ์รวม(ต่อ)

   ถ้าที่ดินถือกรรมสิทธิ์ สามคน  นาย เอ เอาไปจำนอง  ก็คงจำนองได้เฉพาะส่วนของตนเอง  ถ้าเจ้าของอีก สองไม่ยินยอมด้วย ภาระจำนองก็ไม่ผูกพัน  เจ้าของอีก สองคน  แต่การจำนองก็ย่อมกระทบกระเทือนถึงสิทธิ ของ เจ้าของอีกสองคน แน่นอน..

กรรมสิทธิ์รวม

  ถ้าในโฉนดที่ดินมืชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์สามคน คือ เอ  บี  ซี  ถ้าไม่มีการบรรยายส่วนไว้ในโฉนดที่ดินว่า ใครมีส่วนเป็นเจ้าของเท่าไร  ก็ถือว่า ทั้งสามคนถือกรรมสิทธิ์เท่าๆกัน  คือคนละ  7 ไร่  การแบ่งแยกโฉนดที่ดิน สามารถทำได้  โดยแจ้งรังวัด ต่อ  สนง.ที่ดิน  ให้ เจ้าพนักงานฯ ออกมารังวัด เป็นสามแปลง  ใครจะถือครองส่วนใหน  ก็ต้องเจรจากันให้ลงตัว  และแต่ละแปลงควร กำหนดทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ได้ ทั้งสามแปลง  เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง (เรื่องทางจำเป็น  ทางภาระจำยอม  ซึ่งอาจต้องฟ้องร้องกันวุ่นวาย)...เบื้องต้นทั้งสามคน  ต้องใช้การเจรจากัน  แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย   เพื่อให้มีการแจ้งรังวัด เป็นสามแปลง และแบ่งการถือกรรมสิทธิ์ คนละแปลง ประมาณ คนละ  7 ไร่....ถ้าการเจรจากันไม่ได้ผล คือ เอ ไม่ยินยอม   เจ้าของรวม ( บี ซี) ก็ต้องใช้สิทธิฟ้องศาล  เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้มีการรังวัดโฉนดที่ออกเป็นสามแปลง  และแยกกันถือกรรมสิทธิ์คนละแปลง....ส่วน เอ ต้องการส่วนแบ่ง มากกว่า   ไม่น่าจะทำได้  เพราะถ้าไม่มีการบรรยายส่วนไว้ในโฉนดที่ดินว่า ใครถือกรรมสิทธิ์เท่าไร   ก็ต้องถือว่า  ทั้งสามคน มีส่วนเป็นเจ้าของเท่าๆกัน...

    แต่มีสิ่งที่ควรระมัดระวังคือ การที่ นาย เอ ถือครองที่ดินแปลงนี้อยู่ทั้ง 21 ไร่ เพียงผูัเดียว ถ้า บี และซี  ชะล่าใจ ปล่อยวันเวลาให้ล่วงเลยไปเรื่อยๆ  จนครบ 10 ปี  นายเอ  อาจจะ... อ้างการครอบครองปรปักษ์(ปพพ.ม.1382)  เพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินทั้งหมดเพียงผู้เดียวได้ ( การครอบครองปรปักษ์  ต้องร้องศาล  ในทางปฏิบัติ ก็คงไม่ง่ายดายนัก  แต่ถ้า เขาอ้างขึ้นมา และมีการร้องศาล  ให้ได้กรรมสิทธิ์  คงต้องมีการต่อสู้คดีดีกันวุ่นวายยาวนาน อาจต้องว่ากันถึง สามศาล เพราะความโลภ  ไม่เคยปรานีใคร) ทางแก้ไข ที่ดีที่สุด  คือต้องรีบเจรจาขอแยกโฉนดที่ดินเป็นสามแปลง   ถ้ายังขัดข้อง เพราะต้องใช้เวลานานพอสมควร  เบื้่องต้น  ควรเจรจากัน แบ่งที่ดิน แปลงนี้ เป็นสามแปลง  และแยกกันถือครอง คนละแปลง และแจ้งรังวัดแบ่งแยกในภายหลังก็ได้  การถือครอง ก็ทำได้ง่ายๆ  โดยการ ปักเสาคอนกรีต ตามแนวเขตห่าง 1-2 เมตร(ไม่ต้องมีลวดหนามก็ได้) ปลูกพืชผักตามสมควร  เพื่อแสดงการครอบครอง  ซึ่งดีกว่า ให้ เอ  ครอบครองเพียงผู้เดียว....ถ้าการเจรจาล้มเหลว  ก็๋จำเป็นต้องฟ้องศาล ควรฟ้องก่อนอายุความ 10 ปี  ด้วยความปรารถนาดี ครับ

เรื่องคุณสมบัติของข้าราชการ....รัฐวิสาหกิจ

   โดยหลักถ้าไม่ถูกจำคุก  ไม่น่าจะขาดคุณสมบัติ  แต่มีคุณสมบัติอีกข้อที่ระบุว่า ไม่"บกพร่องในศีลธรรมอันดี"  ซึ่งมีความหมายกว้างครอบจักรวาล  ไม่ได้ตีความเคร่งครัดเหมือนคดีอาญา   ถ้าผู้มีอำนาจบรรจุแต่งตั้ง  วินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติฯ  ก็คงลำบาก  อาจต้องฟ้องศาลปกครองให้วินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติหรือไม่....ทางออกง่ายๆ  ก็ควรสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ในหน่วยงานที่จะไปสอบบรรจุ ในตำแหน่งนั้นๆก่อน...

ลูกจ้าง

  (ความเห็น)  ถ้ารับเงินค่าจ้างจากใคร ก็ฟ้องคนนั้น  ในฐานะนายจ้าง