ถาม-ตอบปัญหากฎหมาย
ถาม-ตอบปัญหากฎหมาย => ถาม-ตอบปัญหากฎหมาย => ข้อความที่เริ่มโดย: Auamporn ที่ พฤศจิกายน 08, 2021, 12:55:47 pm
-
เรียน ทนายพรคะ
ดิฉันมีปัญหาเรื่องถูกกดดันให้ออกจากงาน เพราะสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้านาย โดยที่ไม่เจตนา ดิฉันทำงานที่นี่ 10 ปี งานไม่เคยมีปัญหาเรื่องงาน
เรื่องเกิดเมื่อวันที่ 21/10 ค่ะ ซึ่งหลังจากวันนั้นบรรยากาศการทำงานก็แปลกๆ จนวันที่ 1/11 หัวหน้ามาบอกว่า "หนู เรื่องหนูนายเขายังไม่จบนะ เดือนหน้าเขาให้รัยคนใหม่ ให้หนูเริ่มหางานเลยนะ เพียงเท่านี้เราก็เข้าใจแล้วว่าดขาต้องการบีบเราออก ซึ่งหากไม่ยอมเขียนใบลาออกให้ ก็เกรงกลัวถูกกลั่นแกล้งให้เสียทรัพย์หรือโดนโทษทางอาญา เพราะดิฉันทำงานในตำแน่งเจ้าหน้าที่จัดซื้อ ซึางมูลค่าบางครั้ง เป็นสิบล้าน กลัวจะรับผิดชอบไม่ไหว และเราก็เหมือนตัวคนเดียว เพราะถ้าเกี่ยวกับเจ้านายจะไม่มีใครกล้ายุ่งเลย ไม่แม้แต่จะพูดความจริง
ซึ่งดิฉันเขียนใบลาออกแล้วเพื่อเป็นการเอาตัวรอดก่อน
หากดิฉันไปฟ้องศาลแรงงาน อยากให้คุณทนายช่วยพิจารณาหลัก
ฐานหน่อยได้ไหมคะ ว่าสามารถสู้คดีได้ไหม ไม่แน่ใจว่าส่งคลิปเสียงให้ฟังได้ไหมคะ เป็นการสนทนาของดิฉันกับ HR ค่ะ
-
พยานหลักฐาน
คลิปเสียงที่ถูกบีบให้ลาออก จะใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันได้หรือไม่ ก็ขอตอบว่า ใช้ได้ แต่ศาลจะรับฟังมากน้อยเพียงใด ก็เป็นดุลพินิจของศาลเป็นสำคัญ คนนอกก็ตอบได้เพียงเท่านี่้ ด้วยความปรารถนาดี ครับ
-
หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่เล่ามา โดยเฉพาะการเขียนใบลาออก คำตอบของทนายแทบจะไม่มีผลต่อการไปต่อเลยครับ
ซึ่งก็จำเป็นต้องตอบตรงๆ เพื่อจะได้ไม่เป็นการสร้างความหวังในอากาศครับ...
เอาเป็นว่า หากข้อเท็จจริงมีว่า เราถูกกดดันหรือบังคับให้ลาออก เช่น เรียกเข้าไปในห้องโดยมีฝ่ายบริหารและฯลฯ นั่งอยู่หลายคน พร้อมทั้งจัดเตรียมหนังสือเลิกจ้างไว้ให้เรา กรณีเช่นนี้ก็จะอาจจะถือว่าเป็นการลาออกโดยไม่สมัครใจได้ ตามแนวคำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๔๒๔๐/๒๕๖๓ หรือคำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๔๖๙/๒๕๖๒ ลองไปหาอ่านดูนะครับ
หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไกล้เคียงกับแนวฏีกาดังกล่าว ที่บันทึกเสียงไว้ก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่ต้องนำไปประกอบคดี แต่ศาลก็จะรับฟังพยานหลักฐานประเภทนี้ด้วยความระมัดระวัง เพราะเทคโนโลยี่สมัยนี้มันสามารถตัดต่อได้นั่นเองครับ
แต่ถ้าไม่ใช่การบังคับให้ลาออก แล้วเราเป็นผู้ยกมือจับปากกามาเขียนด้วยตนเอง กรณีเช่นนี้ ก็จะถือว่าเราสมัครใจลาออกเอง สิทธิ์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานก็สิ้นสุดไปด้วยครับ
ลองไปตรวจสอบและพิจารณาดูครับ
ให้กำลังใจครับ
ทนายพร.
-
หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่เล่ามา โดยเฉพาะการเขียนใบลาออก คำตอบของทนายแทบจะไม่มีผลต่อการไปต่อเลยครับ
ซึ่งก็จำเป็นต้องตอบตรงๆ เพื่อจะได้ไม่เป็นการสร้างความหวังในอากาศครับ...
เอาเป็นว่า หากข้อเท็จจริงมีว่า เราถูกกดดันหรือบังคับให้ลาออก เช่น เรียกเข้าไปในห้องโดยมีฝ่ายบริหารและฯลฯ นั่งอยู่หลายคน พร้อมทั้งจัดเตรียมหนังสือเลิกจ้างไว้ให้เรา กรณีเช่นนี้ก็จะอาจจะถือว่าเป็นการลาออกโดยไม่สมัครใจได้ ตามแนวคำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๔๒๔๐/๒๕๖๓ หรือคำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๔๖๙/๒๕๖๒ ลองไปหาอ่านดูนะครับ
หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไกล้เคียงกับแนวฏีกาดังกล่าว ที่บันทึกเสียงไว้ก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่ต้องนำไปประกอบคดี แต่ศาลก็จะรับฟังพยานหลักฐานประเภทนี้ด้วยความระมัดระวัง เพราะเทคโนโลยี่สมัยนี้มันสามารถตัดต่อได้นั่นเองครับ
แต่ถ้าไม่ใช่การบังคับให้ลาออก แล้วเราเป็นผู้ยกมือจับปากกามาเขียนด้วยตนเอง กรณีเช่นนี้ ก็จะถือว่าเราสมัครใจลาออกเอง สิทธิ์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานก็สิ้นสุดไปด้วยครับ
ลองไปตรวจสอบและพิจารณาดูครับ
ให้กำลังใจครับ
ทนายพร.
สวัสดีครับทนายพร
ในกรณี บริษัท ย้ายที่ทำงานไปอีกที่1 ซึ่งไกลจากที่เดิมประมาณ 4เท่า
แล้วบริษัทจะให้พนักงานบางแผนกย้ายไปทำงานที่ใหม่ด้วย
โดยออกประกาศระบุชื่อพนักงานว่ามีใครแผนกไหนต้องย้ายไปบ้าง
กรณีนี้ พนักงานไม่สะดวกไป นายจ้างไม่อยากเลิกจ้างคือเลี่ยงวลีโดยการโดนนายจ้างเรียกไปคุยบอกว่าถ้าไม่ไป ก็จะไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ขึ้นเงินเดือน ค่าโทรศัพท์โบนัส เพราะคุณไม่ยืดหยุ่น ไม่มีความท้าทาย หรืออื่นๆ
เหตุผลที่พนักงานไม่ไปเพราะ ที่ทำงานเดิม ระยะทางไปกลับ11กิโลเมตร เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ระยะเวลาเดินทางขาไปราวๆ20-30นาที ค่าน้ำมันประมาณ1500-2000บาทต่อเดือน คำนวณจากค่าน้ำมันที่เคยเติมตอนลิตรล่ะ25บาท-35บาท
ที่ทำงานใหม่ ระยะทางไปกลับ 36กิโลเมตร ระยะเวลาเดินทางขาไปราวๆ 1-1.30ชม. คาดการค่าน้ำมันราวๆ4500-6000บาทต่อเดือน
ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายค่าน่ำมันเพิ่มขึ้น
กรณีแบบนี้พนักงานมีสิทธิ์ไปฟ้องกรมแรงงานได้ไหมครับ หรือพอมีคำแนะนำไหมครับ
-
หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่เล่ามาแล้ว ก็อาจจะตีความได้ว่า การย้ายสถานประกอบการส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของลูกจ้าง ตามมาตรา ๑๒๐ ได้ ทั้งนี้ อาจจะต้องตรวจสอบและทดสอบว่าข้อกล่าวอ้างทั้งเรื่องระยะทาง+ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นจริง เพื่อให้คณะกรรมการสวัสดิการฯ ออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชยกรณีย้านสถานประกอบการตามมาตรา ๑๒๐ ให้ครับ
ซึ่งเมื่อนายจ้างแจ้งให้ย้ายลูกจ้างก็จะต้องแจ้งนายจ้างเป็นหนังสือให้นายจ้างทราบภายในสามสิบวันว่าไม่ประสงค์จะไปโดยต้องให้เหตุผลด้วยว่าที่ไม่ไปเพราะอะไร หลังจากนั้น หากนายจ้างไม่จ่ายเงินค่าชดเชยให้ก็ไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสวัสดิการ ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดในพื้นที่ที่คุณทำงานอยู่เพือให้มีคำสั่งต่อไปครั้ง
ซึ่งกระบวนการยื่นคำร้องก็ไม่ต้องใช้ทนายความให้เสียสตางค์แต่อย่างใดครับ ไม่ยากๆ
ทนายพร.