1
ถาม-ตอบปัญหากฎหมาย / กรณีแบบนี้ ถือเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่
« เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2016, 12:59:06 pm »
เรื่องโดยใจความสำคัญมีดังนี้
วันที่ 1 พฤศจิกายน เราทำงานมาปีกว่า แต่อยู่กับหัวหน้างานคนปัจจุบันได้ 3-4 เดือน ในช่วงบ่ายวันนั้นหัวหน้างานเรียกเราไปเพียง 2 คนในคอกของหัวหน้างาน โดยคุยว่า เรามีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับทีมงาน และชอบตัดสินใจอะไรบางอย่างเอง ในบางครั้งโดยไม่ผ่านหัวหน้างาน เป็นเหตุให้แผนกเกิดปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือจากแผนกอื่น หัวหน้างาน ให้ทางเลือกเรา 2 ข้อ
ทางเลือกที่1 เขียนใบลาออกเอง แล้วจะให้ทางกรรมการบริษัทฯ จ่ายเงินค่าทำงานจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน (โดยไม่ต้องมาทำงาน) และให้เงินพิเศษอีก 1 เดือนแทนค่าจ้างในเดือนธันวาคม ในส่วนนี้มีแต่ปากเปล่า ไม่มีเอกสารหรือจดหมายชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรใด ๆ
ทางเลือกที่2 ให้เราไปรายงานตรงกับกรรมการบริษัทฯ โดยที่ตำแหน่ง และงานที่รับผิดชอบต่าง ๆ ไม่ชัดเจน
หัวหน้างานบอกว่า เราต้องตัดสินใจในช่วงบ่ายนั้นเลย เนื่องจากต้องมีผลในวันรุ่งขึ้นไม่ว่าเราจะเลือกทางเลือกไหน เรามองว่าทางเลือกที่2 นั้นไม่ชัดเจน และอยู่ไปก็ไม่น่าจะรุ่ง และหัวหน้าเราก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นงานอะไร หัวหน้าเราบอกไม่อยากให้ไปคุยกับระดับกรรมการในวันนั้น เนื่องจากกรรมการเป็นชาวต่างชาติและอาจพูดจาตรงไปตรงมาจนอาจทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจ แต่ทางหัวหน้างานได้เข้าไปหากรรมการเพื่อยืนยันการจ่ายเงินพิเศษ 1 เดือนให้กับเรา และมาบอกกับเราว่าทุกอย่างโอเค ทางพี่ไม่โกงหรอก ถ้าพี่โกงยังไงตัวเองมาหาพี่ที่ออฟฟิศได้เลย
สรุปในช่วงเย็นวันนั้น เราเลือกทางเลือกที่1 หัวหน้าเราก็พยายามตามให้เราเขียนใบลาออก ซึ่งเราก็ยอมเขียนให้แบบไม่เต็มใจ และเราได้ร้องถามหนังสือที่ให้เกี่ยวกับเงินพิเศษ ซึ่งทางหัวหน้างานก็รับพิมพ์ เซ็นชื่อ และยื่นให้ดู โดยยังขาดลายเซ็นกรรมการ จึงไม่ให้ถ่ายเอกสาร หรือถ่ายภาพเก็บไว้ แล้วยึดของเราคืนหมด บัตรพนักงาน โน้ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ ที่จอดรถ ราวกับวันที่ 1 พ.ย. เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของเรา โดยสิ่งที่เราทำทิ้งไว้ในใบลาออกคือ ไม่ได้ใส่วันทำงานวันสุดท้าย และวันที่มีผลลาออกไว้ เนื่องจากคิดว่าเป็นหน้าที่ของนายจ้างในฐานะที่เป็นคนที่เริ่มขั้นตอนการเลิกจ้าง
ก่อนกลับบ้าน เนื่องจากไม่มีเอกสารอะไรให้เราเลย ทุกอย่างเป็นปากเปล่าทั้งหมด จึงจัดการทำการลาพักร้อนที่เหลืออยู่ประมาณ 9 วันจนหมด โดยลาตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ทางหัวหน้างานพยายามติดต่อเรา เพื่อจะถามวันที่มีผล และวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่งเราก็ไม่ได้ให้ไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน เริ่มมีคำถามแปลก ๆ มาจากหัวหน้างาน เพราะเขาเห็นวันลาที่เราขอไว้ในระบบ เลยมาถามว่า ถ้าเราลาพักร้อนครบแล้วจะกลับมาทำงานอีกหรือเปล่า และขอให้เรามาคุยในวันรุ่งขึ้นกับกรรมการ
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน เรามาพบกับกรรมการในห้อง แบบ 2 ต่อ 2 ไม่มีพยาน และห้องปิดสนิท คำถามแรกที่กรรมการถามเราคือ ทำไมวันนี้ถึงมาสาย เพราะวันนี้รถติดมาก เราเลยมาถึงออฟฟิศประมาณ 9 โมงและรอคนลงมารับขึ้นไปอีก 1 ชั่วโมง และพยายามถามเราว่าวันนี้เรามาทำงานหรือเปล่า หรือว่ายังลาหยุด โดยทางกรรมการทำราวกับว่าไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน และพยายามบอกเราว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการประเมินผลงานประจำปีของหัวหน้างาน ซึ่งสิ่งที่ทางหัวหน้างานให้ก็เป็นมุมมองเดียวกับกรรมการ และบอกอีกว่าเรามีเรื่องที่ทำงานผิดพลาดตั้งแต่ก่อนที่เราจะย้ายมาทำงานกับหัวหน้างานคนปัจจุบัน ซึ่งทางกรรมการในตอนนั้นเป็นคนลงไปแก้ปัญหาเอง ไม่ได้มีการให้ฟีดแบคเรา สิ่งที่ทางกรรมการพยายามพูดคือ ให้เราเลือก
ทางเลือกที่ 1 ว่าพรุ่งนี้จะมาทำงานต่อ แล้วมาเป็นลูกน้องโดยตรงกับเขา เหมือนได้โปรโมทแต่ยังอยู่ในระดับตำแหน่งเดิม งานที่ทำก็แล้วแต่ที่เขาจะสั่งหรือพิจารณาเป็นครั้งคราวไป โดยหากเลือกทางนี้ก็ต้องเข้าแผนปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเป็นเวลา 3 เดือน แล้วจะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ทางเลือกที่2 คือให้เราเขียนใบลาออกไปเอง โดยเขาอาจพิจารณาจ่ายโบนัสตามผลประกอบการให้เป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องอยู่เป็นพนักงานถึงวันจ่ายเงินโบนัสตามระเบียบของบริษัทฯ พอสอบถามไปว่าในวันนั้นทางหัวหน้างานได้เข้ามาพูดเรื่องเงินพิเศษ 1 เดือนหรือไม่ ทางกรรมการก็พยายามบ่ายเบี่ยง ไม่พูดถึง โดยอ้างว่าจะไม่พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับแพ็คเกจใด ๆ ถ้าจะลาออกก็ลาออกไปด้วยความสมัครใจของตนเอง
เราออกมาจากการสนทนาโดยระบุว่าจะไปปรึกษาแรงานพื้นที่ ซึ่งทางกรรมการก็พยายามพูดให้เรารับข้อเสนอมาทำงานต่ออีกรอบ แต่เราก็ยังยืนยันสิ่งเดิม และเดินออกจากห้องไป
ต่อมาทางน้องที่ออฟฟิศก็มาบอกว่า ตัวบัตรพนักงานของเราที่ใช้ในการเข้าออกบริษัทฯ ได้ถูกวางอยู่บนโต๊ะของน้องเขา น้องเขาถามว่าเราเป็นคนนำมาวางหรือเปล่า เราก็บอกไปว่าอันนี้เราไม่ทราบ เพราะในวันที่ 1 พฤศจิกายน เราก็ได้ยื่นของทุกอย่างคืนให้กับทางหัวหน้างานเรียบร้อยแล้ว
อยากทราบว่าทางทนายพร มองเคสนี้เป็นอย่างไร ว่าเป็นกรณีเลือกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้หรือไม่ ขอบคุณครับ
วันที่ 1 พฤศจิกายน เราทำงานมาปีกว่า แต่อยู่กับหัวหน้างานคนปัจจุบันได้ 3-4 เดือน ในช่วงบ่ายวันนั้นหัวหน้างานเรียกเราไปเพียง 2 คนในคอกของหัวหน้างาน โดยคุยว่า เรามีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับทีมงาน และชอบตัดสินใจอะไรบางอย่างเอง ในบางครั้งโดยไม่ผ่านหัวหน้างาน เป็นเหตุให้แผนกเกิดปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือจากแผนกอื่น หัวหน้างาน ให้ทางเลือกเรา 2 ข้อ
ทางเลือกที่1 เขียนใบลาออกเอง แล้วจะให้ทางกรรมการบริษัทฯ จ่ายเงินค่าทำงานจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน (โดยไม่ต้องมาทำงาน) และให้เงินพิเศษอีก 1 เดือนแทนค่าจ้างในเดือนธันวาคม ในส่วนนี้มีแต่ปากเปล่า ไม่มีเอกสารหรือจดหมายชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรใด ๆ
ทางเลือกที่2 ให้เราไปรายงานตรงกับกรรมการบริษัทฯ โดยที่ตำแหน่ง และงานที่รับผิดชอบต่าง ๆ ไม่ชัดเจน
หัวหน้างานบอกว่า เราต้องตัดสินใจในช่วงบ่ายนั้นเลย เนื่องจากต้องมีผลในวันรุ่งขึ้นไม่ว่าเราจะเลือกทางเลือกไหน เรามองว่าทางเลือกที่2 นั้นไม่ชัดเจน และอยู่ไปก็ไม่น่าจะรุ่ง และหัวหน้าเราก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นงานอะไร หัวหน้าเราบอกไม่อยากให้ไปคุยกับระดับกรรมการในวันนั้น เนื่องจากกรรมการเป็นชาวต่างชาติและอาจพูดจาตรงไปตรงมาจนอาจทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจ แต่ทางหัวหน้างานได้เข้าไปหากรรมการเพื่อยืนยันการจ่ายเงินพิเศษ 1 เดือนให้กับเรา และมาบอกกับเราว่าทุกอย่างโอเค ทางพี่ไม่โกงหรอก ถ้าพี่โกงยังไงตัวเองมาหาพี่ที่ออฟฟิศได้เลย
สรุปในช่วงเย็นวันนั้น เราเลือกทางเลือกที่1 หัวหน้าเราก็พยายามตามให้เราเขียนใบลาออก ซึ่งเราก็ยอมเขียนให้แบบไม่เต็มใจ และเราได้ร้องถามหนังสือที่ให้เกี่ยวกับเงินพิเศษ ซึ่งทางหัวหน้างานก็รับพิมพ์ เซ็นชื่อ และยื่นให้ดู โดยยังขาดลายเซ็นกรรมการ จึงไม่ให้ถ่ายเอกสาร หรือถ่ายภาพเก็บไว้ แล้วยึดของเราคืนหมด บัตรพนักงาน โน้ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ ที่จอดรถ ราวกับวันที่ 1 พ.ย. เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของเรา โดยสิ่งที่เราทำทิ้งไว้ในใบลาออกคือ ไม่ได้ใส่วันทำงานวันสุดท้าย และวันที่มีผลลาออกไว้ เนื่องจากคิดว่าเป็นหน้าที่ของนายจ้างในฐานะที่เป็นคนที่เริ่มขั้นตอนการเลิกจ้าง
ก่อนกลับบ้าน เนื่องจากไม่มีเอกสารอะไรให้เราเลย ทุกอย่างเป็นปากเปล่าทั้งหมด จึงจัดการทำการลาพักร้อนที่เหลืออยู่ประมาณ 9 วันจนหมด โดยลาตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ทางหัวหน้างานพยายามติดต่อเรา เพื่อจะถามวันที่มีผล และวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่งเราก็ไม่ได้ให้ไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน เริ่มมีคำถามแปลก ๆ มาจากหัวหน้างาน เพราะเขาเห็นวันลาที่เราขอไว้ในระบบ เลยมาถามว่า ถ้าเราลาพักร้อนครบแล้วจะกลับมาทำงานอีกหรือเปล่า และขอให้เรามาคุยในวันรุ่งขึ้นกับกรรมการ
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน เรามาพบกับกรรมการในห้อง แบบ 2 ต่อ 2 ไม่มีพยาน และห้องปิดสนิท คำถามแรกที่กรรมการถามเราคือ ทำไมวันนี้ถึงมาสาย เพราะวันนี้รถติดมาก เราเลยมาถึงออฟฟิศประมาณ 9 โมงและรอคนลงมารับขึ้นไปอีก 1 ชั่วโมง และพยายามถามเราว่าวันนี้เรามาทำงานหรือเปล่า หรือว่ายังลาหยุด โดยทางกรรมการทำราวกับว่าไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน และพยายามบอกเราว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการประเมินผลงานประจำปีของหัวหน้างาน ซึ่งสิ่งที่ทางหัวหน้างานให้ก็เป็นมุมมองเดียวกับกรรมการ และบอกอีกว่าเรามีเรื่องที่ทำงานผิดพลาดตั้งแต่ก่อนที่เราจะย้ายมาทำงานกับหัวหน้างานคนปัจจุบัน ซึ่งทางกรรมการในตอนนั้นเป็นคนลงไปแก้ปัญหาเอง ไม่ได้มีการให้ฟีดแบคเรา สิ่งที่ทางกรรมการพยายามพูดคือ ให้เราเลือก
ทางเลือกที่ 1 ว่าพรุ่งนี้จะมาทำงานต่อ แล้วมาเป็นลูกน้องโดยตรงกับเขา เหมือนได้โปรโมทแต่ยังอยู่ในระดับตำแหน่งเดิม งานที่ทำก็แล้วแต่ที่เขาจะสั่งหรือพิจารณาเป็นครั้งคราวไป โดยหากเลือกทางนี้ก็ต้องเข้าแผนปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเป็นเวลา 3 เดือน แล้วจะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ทางเลือกที่2 คือให้เราเขียนใบลาออกไปเอง โดยเขาอาจพิจารณาจ่ายโบนัสตามผลประกอบการให้เป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องอยู่เป็นพนักงานถึงวันจ่ายเงินโบนัสตามระเบียบของบริษัทฯ พอสอบถามไปว่าในวันนั้นทางหัวหน้างานได้เข้ามาพูดเรื่องเงินพิเศษ 1 เดือนหรือไม่ ทางกรรมการก็พยายามบ่ายเบี่ยง ไม่พูดถึง โดยอ้างว่าจะไม่พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับแพ็คเกจใด ๆ ถ้าจะลาออกก็ลาออกไปด้วยความสมัครใจของตนเอง
เราออกมาจากการสนทนาโดยระบุว่าจะไปปรึกษาแรงานพื้นที่ ซึ่งทางกรรมการก็พยายามพูดให้เรารับข้อเสนอมาทำงานต่ออีกรอบ แต่เราก็ยังยืนยันสิ่งเดิม และเดินออกจากห้องไป
ต่อมาทางน้องที่ออฟฟิศก็มาบอกว่า ตัวบัตรพนักงานของเราที่ใช้ในการเข้าออกบริษัทฯ ได้ถูกวางอยู่บนโต๊ะของน้องเขา น้องเขาถามว่าเราเป็นคนนำมาวางหรือเปล่า เราก็บอกไปว่าอันนี้เราไม่ทราบ เพราะในวันที่ 1 พฤศจิกายน เราก็ได้ยื่นของทุกอย่างคืนให้กับทางหัวหน้างานเรียบร้อยแล้ว
อยากทราบว่าทางทนายพร มองเคสนี้เป็นอย่างไร ว่าเป็นกรณีเลือกจ้างที่ไม่เป็นธรรมได้หรือไม่ ขอบคุณครับ