เข้าใจว่าคงจะเป็นการขับรถโฟร์คลิฟภายในโรงงาน เท่าที่ได้อ่านรายละเอียดว่าจะมีความผิดหรือไม่ มีข้อแนะนำอย่างนี้ครับ
ประเด็นแรก
ให้ดูที่ “ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน” หรือ “ประกาศบริษัท” เกี่ยวกับเรื่องการใช้รถโฟร์คลิฟ ว่าได้กำหนดหน้าที่หรือโทษไว้ว่าอย่างไร
ซึ่งจากการพิจารณาที่บอกมานี้เข้าใจว่า ถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะถูกใบเตือน 3 ครั้ง (หนังสือเตือน) ซึ่งในกรณีนี้ก็ต้องพิจารณาหนังสือเตือนนั้นอย่างละเอียดด้วยว่า เตือนด้วยข้อหาอะไร? และเป็นข้อหาเดิมหรือไม่?
ถ้าใช่ก็เป็นการผิดซ้ำคำเตือน นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า การให้หนังสือเตือนนั้น ชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมหรือไม่ประกอบด้วย
ประเด็นที่สอง
ถ้าดูจากพฤติกรรมแล้วถ้ามองด้วยใจเป็นธรรมก็จะเห็นว่า ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำเพื่อให้บริษัทได้ประโยชน์จากระบบการผลิตที่เร่งรีบ แต่การที่บริษัทได้มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยฯก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม
แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไปว่าการออกกฎระเบียบนั้นเป็นไปด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ และผู้ต้องปฎิบัติหรือผู้ที่อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ออกมานั้น รู้หรือไม่? ถ้ารู้ก็ผิด ถ้าไม่รู้จะถือว่าทำผิดก็อาจจะเกินเลยไปหน่อย ยิ่งเป็นการย้ายแผนกและประกอบกับแผนกที่ย้ายไปนั้นไม่มีพนักงานขับรถโฟร์คลิฟที่มีใบอนุญาตทำงานในเวลากลางคืน ซึ่งประเด็นนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องมีการพิสูจน์กันในชั้นศาลถ้าหากลูกจ้างนำคดีไปฟ้องร้องต่อศาล
และโดยปกติแล้วการจะออกกฎระเบียบก็จะต้องมีการให้ลูกจ้างรับรู้รับทราบ ด้วยการอบรมหรือการเซ็นต์เอกสารเพื่อรับทราบ หากไม่มีการยืนยันว่าได้รับทราบระเบียบก็ถือว่ายังมีข้อต่อสู้ได้ครับ
ดังนั้น หากเราคิดว่าเราไม่น่าจะถึงขั้นถูกเลิกจ้าง และประสงค์จะเรียกร้องความเป็นธรรม ก็ให้พิจารณาทั้งสองประเด็นตามที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถนำเรื่องนี้ฟ้องต่อศาลแรงงานเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมได้ครับ
อนึ่ง สำหรับประเด็นการฟ้องต่อศาลมีดังนี้ คือ เรียกค่าชดเชย , ค่าบอกกล่าว,ค่าจ้างค้างจ่าย(ถ้ามี),ค่าวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสม(ถ้ามี) และวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนในปีที่เลิกจ้าง, ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ครับ แต่ถ้าเรามีความผิดกรณีร้ายแรง ทั้งหมดนี้จะไม่มีสิทธิได้รับครับ
คำตอบยาวหน่อย แต่เพื่อให้ได้คำอธิบายที่ชัดเจนขึ้น หวังว่าคำตอบคงสร้างความกระจ่างได้ในระดับหนึ่งนะครับ
ส่วนที่บอกว่าส่งเรื่องให้อัยการนั้น ตอบได้ตรงนี้เลยว่าคนแนะนำนั้นไม่รู้เรื่อง และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอัยการเลยแม้แต่นิดเดียว
หรือถ้ายังสงสัยในประเด็นไหนก็สามารถโทรสอบถามได้ครับ...ให้กำลังใจครับ...