ในช่วงฤดูกาลยื่นข้อเรียกร้องของลูกจ้างของทุกๆปี มีบางโรงงานที่ยังไม่สามารถตกลงในข้อเรียกร้องระหว่างนายจ้างและสหภาพแรงงาน ได้ในระหว่างเจรจา ลูกจ้างมักจะมีการนัดชุมนุมหน้าโรงงานเพื่อชี้แจงข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยว ข้องต่อลูกจ้าง หรือในบางกรณีที่นำไปสู่ข้อพิพาทแรงงาน และมีการนัดหยุดงานในฝ่ายลูกจ้างหรือมีการปิดงานจากฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้างก็มักจะมีการนัดชุมนุมยืดเยื้อหน้าโรงงานเพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรอง ที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่ายขึ้นมา
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 63 จะบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจำกัดเสรีภาพจะกระทำมิได้”
แต่อย่างไรก็ตามในมาตราเดียวกันนี้ ได้มีการระบุต่อท้ายว่า
“เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก”
นั้นหมายความว่าการชุมนุมโดยสงบเท่านั้นที่จะได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญ คือ ต้องไม่มีการใช้กำลังประทุษร้ายระหว่างการชุมนุม ต้องไม่มีการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และต้องไม่กระทำการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
เช่นเดียวกันการชุมนุมหน้าโรงงานย่อมมีข้อจำกัดบางอย่างที่สามารถกระทำได้ และไม่สามารถกระทำได้ คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย จึงได้รวบรวมแนวทางที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายด้านการชุมนุม เพื่อให้พี่น้องแรงงานกลุ่มต่างๆใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดชุมนุมที่ไม่ ผิดกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น
7 หลักการสำคัญของการชุมนุมที่ห้ามกระทำโดยเด็ดขาด ทั้งนี้มีคำพิพากษาแล้ว ได้แก่
(1) การ ปราศรัยในที่ชุมนุมต้องเป็นไปเพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องสภาพการจ้างงานในบริษัทหรือสถานประกอบการ เท่านั้น การปราศรัยที่เป็นการโน้มน้าว ปลุกระดม ยุยง ให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่อง จนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในที่ชุมนุม แม้จะยังไม่มีการปฏิบัติตามนั้น แต่ถ้ามีประโยคที่สื่อได้ว่า “หากไม่มีการปฏิบัติตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง ขู่เข็ญ ก็จะมีการใช้กำลังประทุษร้ายนายจ้าง” ก็ถือว่ามีความผิดแล้วจะกระทำมิได้โดยเด็ดขาด ทั้งนี้โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ 215)
(2) ผู้จัดการชุมนุมหรือผู้เข้าร่วมการชุมนุม ห้ามยุยงหรือสนับสนุนให้มีการใช้ความรุนแรงเพื่อบังคับข่มขู่ หน่วงเหนี่ยว หรือมุ่งให้เกิดการกักขังผู้อื่น จนทำให้ผู้อื่นกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ จนไม่กล้าที่จะเข้าไปทำงานในโรงงาน ถือเป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309)
(3) ห้ามปิดกั้นถนนสาธารณะสายหลักที่มีการจราจร หนาแน่นอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการปิดกั้นถนนทางหลวงหรือกระทำการใดๆกับทางหลวง อันเป็นการกีดขวางการจราจร หรืออาจเกิดอันตรายหรือเสียหายแก่ยานพาหนะ หรือบุคคลที่สัญจร ถือเป็นการกระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นที่ใช้รถใช้ถนนทำให้ไม่อาจสัญจรไป มาได้จนได้รับความเดือดร้อน มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 39, 71 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 114, 148)
(4) ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้การใช้เครื่องขยายเสียงจะสามารถกระทำได้ เมื่อได้แจ้งข้อเรียกร้องและความจำเป็นในการชุมนุมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้ว จึงจะได้รับการยกเว้น อย่างไรก็ตามถึงผู้ชุมนุมไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ ก็มีโทษเพียงการปรับจำนวน 200 บาท เท่านั้น (พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493 มาตรา 9)
(5) การนัดหมายหรือสั่งการให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนและเงื่อนไขของ กฎหมาย รวมถึงมีการปิดประตูโรงงานด้วยวิธีการต่างๆ การตรวจค้นร่างกาย เพื่อมิให้นายจ้างหรือลูกจ้างที่ประสงค์จะเข้าทำงานเข้าออกได้ และการเข้าไปในโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง กระทำให้ผู้อื่นกลัวว่าจะเกิด อันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และเสรีภาพ อันเป็นการกระทบสิทธิเสรีภาพผู้อื่น (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 16)
(6) การเดินขบวนเพื่อเรียกร้องข้อเสนอบางอย่าง หรือคัดค้านการกระทำบางอย่างตามปกติธรรมดา ไม่ถือเป็นการก่อให้เกิดการวุ่นวาย แต่ทั้งนี้ต้องไม่กีดขวางการจราจรเด็ดขาด แต่ในข้อนี้โทษปรับแค่ 500 บาท (พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 108 และ 148)
(7) ห้ามมีการใช้กำลังประทุษร้าย เช่น ทำร้ายบุคคลอื่น หรือทำลายและเผาทรัพย์สินต่างๆของทางราชการและของสถานประกอบการหรือของบุคคล ให้เสียหาย ถือว่าเป็นการทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 ทั้งนี้การเผาหุ่นจำลองต่างๆที่ผู้ชุมนุมกล่าวหา ไม่ถือว่าเป็นการทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215)
ข้อสังเกต
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา การชุมนุมที่มีการเดินขบวนในลักษณะกีดขวางการจราจร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 108, มาตรา 148 และการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียง พ.ศ.2499 มาตรา 4 มาตรา 9 ถือว่าเป็นบทบัญญัติที่จำกัดเสรีภาพของประชาชนและขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจนำมาใช้กับผู้ชุมนุมในทางสาธารณะได้
แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังในกรณีนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเดือนตุลาคม 2556 มีคำพิพากษาจากศาลจังหวัดสระบุรี กรณีการชุมนุมคัดค้านสร้างโรงไฟฟ้าหนองแซง ศาลชี้ว่าเสรีภาพการชุมนุมต้องไม่ละเมิดกฎหมายอื่น จำเลยมีความผิดให้จำคุก 1 ปี ปรับ 6,200 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา มีกำหนดคนละ 2 ปี เพราะมีการชุมนุมปิดถนนพหลโยธิน ก่อให้เกิดอันตรายกับประชาชน กีดขวางทางหลวง และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
พรนารายณ์ ทุยยะค่าย 13 พฤศจิกายน 2556