ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
สืบเนื่องจากที่มีสื่อมวชนหลายสำนัก ได้เผยแพร่ข้อมูลเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 กรณีที่หัวหน้างานแผนกหนึ่งในโรงพยาบาลราชวิถี ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ ได้มีประกาศห้ามเจ้าหน้าที่ในแผนกตั้งครรภ์หรือท้อง โดยมีการติดประกาศไว้ที่แผนกจ่ายยาของโรงพยาบาลดังกล่าว ว่า “ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.57-31 ธ.ค.58 เจ้าหน้าที่ผู้หญิงทุกท่าน ให้กินยาคุมกำเนิด (ห้ามท้อง) ถ้าท้องให้ลาออกไปเลย” เนื่องจากแผนกดังกล่าวนี้มีเจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการตั้งครรภ์พร้อมๆ กันหลายคน ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนคนทำงาน
จากกรณีดังกล่าว ทางสำนักงานทนายความและที่ปรึกษากฎหมายพรนารายณ์และเพื่อน พบว่า เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่า “นายจ้างไม่สามารถมีข้อตกลงเรื่องการห้ามตั้งครรภ์กับพนักงานได้” กล่าวคือ
เมื่อปี 2549 ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2549 ที่ระบุชัดเจนว่า การที่บริษัทมีข้อตกลง (สัญญา)ห้ามพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินตั้งท้อง ไม่สามารถนำสัญญาดังกล่าวนี้มาใช้บังคับกับพนักงานได้ เนื่องจากขัดกับ พ.ร.บ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถือว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 ร่วมด้วย ที่ระบุไว้ว่า การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนการนั้นเป็นโมฆะ
สรุปย่อสาระสำคัญของคำพิพากษา มีดังนี้
(1) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การใช้แรงงานเป็นไปอย่างเป็นธรรมและคุ้มครองลูกจ้างไม่ให้ถูกเอาเปรียบ เป็นกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน พระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 43 บัญญัติว่า ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นเพศหญิงเพราะเหตุมีครรภ์
(2) ได้มีข้อตกลงระหว่างนายจ้างและพนักงาน (ลูกจ้าง) ตามสัญญาจ้างพนักงานตอนรับบนเครื่องบินที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่เริ่มสัญญา หากพนักงาน (ลูกจ้าง) ตั้งครรภ์ ให้ถือว่าลูกจ้างได้บอกเลิกสัญญา
(3) ในสัญญาได้ระบุว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเข้าใจและยอมรับว่าการปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมีลักษณะเป็นการเฉพาะ ทั้งเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ มีบุคลิกภาพที่ดีและสุขภาพสมบูรณ์ สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องขณะทำการบินได้ตามหลักเกณฑ์ที่นายจ้างกำหนด และไม่ถูกจำกัดทางเวชศาสตร์การบิน ซึ่งจะต้องได้รับการศึกษาอบรม การทดสอบและการตรวจร่างกายตามระยะเวลาที่นายจ้างกำหนด พนักงานต้อนรับบนเครื่องจึงจำเป็นต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อมจะเข้ารับการฝึกอบรมและปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนความสามารถและประสบการณ์ในช่วงระยะเวลา 2 ปีแรกของการปฏิบัติงาน การตั้งครรภ์ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินช่วงเวลาดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
(4) ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตกลงเงื่อนไขเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เป็นข้อหนึ่งของสัญญาจ้าง ที่กำหนดว่า เมื่อพนักงาน(ลูกจ้าง)ได้กระทำการผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ คำสั่งต่างๆ ที่กล่าวไว้ กรณีร้ายแรงให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง และข้อตกลงที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเริ่มสัญญา หากพนักงาน(ลูกจ้าง)ตั้งครรภ์ให้ถือว่าพนักงาน(ลูกจ้าง)บอกเลิกสัญญานั้น มีข้อความต่อไปอีกด้วยว่า โดยให้สัญญาสิ้นสุดตั้งแต่วันที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งวินิจฉัยหรือเมื่อเห็นได้ชัดว่าพนักงาน(ลูกจ้าง)ตั้งครรภ์
(5) ศาลฎีกาเห็นว่าข้อตกลงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีผลเป็นการเลิกจ้างเพราะลูกจ้างมีครรภ์ อันขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150
สำหรับคำพิพากษาฉบับเต็ม มีรายละเอียดดังนี้
โจทก์ บริษัทแอร์ อันดามัน จำกัด
จำเลย นายสุรเชษฐ วิริยะศิริกุล
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการขนส่งทางอากาศ จำเลยเป็นพนักงานตรวจแรงงาน เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2545 โจทก์ได้ว่าจ้างนางสาวสาวิตรี ชัยพนัส ทำงานเป็นลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซึ่งนางสาวสาวิตรีทราบดีว่ามีลักษณะงานเป็นการเฉพาะ ต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ บุคลิกภาพดี มีความรู้เฉพาะตัวเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องบินขณะทำการบินได้ตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์กำหนด และไม่ถูกจำกัดทางเวชศาสตร์การบิน จึงตกลงว่าหากนางสาวสาวิตรีไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาจ้างให้ถือว่านางสาวสาวิตรีบอกเลิกสัญญาจ้าง และภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเข้าทำงาน หากนางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์ ให้ถือว่านางสาวสาวิตรีเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง
ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2546 นางสาวสาวิตรีได้โทรศัพท์มาลางานกับหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแจ้ง ว่าป่วยโดยไม่มีใบรับรองแพทย์ แล้วขาดงานไปจนกระทั่งวันที่ 9 พฤศจิกายน 2546 รวม 11 วัน หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงมีหนังสือแจ้งการขาดงานของนางสาวสาวิตรีต่อฝ่ายบุคคลของโจทก์
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลจึงติดต่อนางสาวสาวิตรีให้เข้าพบ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 นางสาวสาวิตรีได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของโจทก์ทราบว่าตั้งครรภ์พร้อม กับยื่นใบรับรองแพทย์ซึ่งยืนยันว่านางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์ประมาณ 10 สัปดาห์
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลจึงแจ้งให้นางสาวสาวิตรีทราบถึงข้อตกลงที่ให้ถือว่านางสาวสาวิตรีเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างและนำเรื่องเสนอต่อผู้มีอำนาจของโจทก์ พร้อมทั้งนำข้อตกลงไปปรึกษากับนักกฎหมาย เรื่องดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา แต่นางสาวสาวิตรีไม่มาทำงานให้โจทก์และไปร้องต่อจำเลยว่าโจทก์เลิกจ้าง ทั้ง ๆ ที่นางสาวสาวิตรีเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างและละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ไม่ได้เป็นกรณีที่โจทก์เลิกจ้าง โจทก์จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
แต่จำเลยกลับมีคำสั่งที่ 5/2547 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน เป็นเงิน 60,561 บาท ให้แก่นางสาวสาวิตรีโดยนำค่าชั่วโมงบินนับแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม 2546 เฉลี่ยเดือนละ 12,187 บาท ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์จ่ายค่าตอบแทนเป็นกรณีพิเศษให้แก่นางสาวสาวิตรีเมื่อ ได้ปฏิบัติงานบนเครื่อง ไม่ใช่ค่าจ้าง มาคำนวณค่าชดเชยด้วย อันเป็นการไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 5/2547 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 ในส่วนที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยจำนวน 60,561 บาท ให้แก่นางสาวสาวิตรี ชัยพนัส
จำเลยให้การว่า ข้อตกลงเรื่องการตั้งครรภ์ระหว่างโจทก์กับนางสาวสาวิตรี ชัยพนัส กำหนดไว้ด้วยว่า หากนางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเข้าทำงานให้แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์จะเปลี่ยนงานให้ตามความเหมาะสมโดยได้รับค่าจ้างหรือให้ลาหยุดโดยไม่ได้รับค่าจ้างจนกว่าจะคลอด
นางสาวสาวิตรีได้เข้ารับการตรวจจากแพทย์พบว่าตั้งครรภ์และประสบภาวะแท้งคุกคาม แพทย์ให้พักรักษาตัวเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2546 เป็นต้นไป วันที่ 29 ตุลาคม 2546 นางสาวสาวิตรีได้ยื่นใบรับรองผลการตรวจครรภ์ดังกล่าวต่อฝ่ายดูแลจัดตารางการบินของโจทก์ และเข้าพบเจรจากับผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลและธุรการของโจทก์แจ้งความประสงค์ว่า ต้องการเปลี่ยนตำแหน่งงาน แต่โจทก์ไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งงานให้ได้ และเมื่อตารางการบินของเดือนพฤศจิกายน 2546 ออกมาปรากฏว่าไม่มีชื่อนางสาวสาวิตรีอยู่ในแผนกการบิน นางสาวสาวิตรีจึงไม่ได้ทำงานในแผนกใดนับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 เป็นต้นมา วันที่ 11 พฤศจิกายน 2546
นางสาวสาวิตรีและโจทก์ได้เจรจากัน โดยโจทก์ทราบแล้วว่านางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเข้าทำงาน ซึ่งเป็นการผิดสัญญาจ้าง อันเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญาได้ แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือนางสาวสาวิตรี โจทก์ได้เสนอให้นางสาวสาวิตรีเขียนใบลาออกโดยให้มีผลในอีก 1 เดือนข้างหน้าหรือวันที่ 11 ธันวาคม 2546 โดยโจทก์จะจ่ายค่าจ้างให้ตามปกติและนางสาวสาวิตรีไม่ต้องไปทำงาน แต่นางสาวสาวิตรีไม่ตกลงและหาข้อยุติไม่ได้
เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างของเดือนพฤศจิกายน 2546 โจทก์ได้จ่ายค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 ให้แก่นางสาวสาวิตรี จึงเป็นการเลิกจ้างนางสาวสาวิตรีเนื่องจากนางสาวสาวิตรีผิดสัญญาจ้างตั้ง ครรภ์ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเข้าทำงาน ซึ่งไม่เข้าข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 โจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นางสาวสาวิตรี
นางสาวสาวิตรีทำงานตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2545 ติดต่อกันจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 รวม 1 ปี 10 เดือน ได้รับเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 8,000 บาท กับค่าชั่วโมงบินเพื่อปฏิบัติงานบนเครื่องบินในแต่ละเดือน ซึ่งโจทก์จ่ายให้ตามระยะทางของเส้นทางการบินประกอบจำนวนชั่วโมงบินในแต่ละ เที่ยวบิน อันเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของนางสาวสาวิตรีซึ่งเป็นค่าจ้าง ในเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม 2546 นางสาวสาวิตรีได้รับค่าชั่วโมงบินจำนวน 10,564 บาท 9,979 บาท และ 16,019 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 36,562 บาท คำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้นางสาวสาวิตรีจำนวน 60,561 บาท จึงชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า นางสาวสาวิตรี ชัยพนัส เป็นลูกจ้างโจทก์ เข้าทำงานเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2545 ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ตามสัญญาจ้างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเอกสารหมาย จล. 1 หมายเลข 6 จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 ได้รับเงินเดือนเดือนละ 8,000 บาท กับชั่วโมงบินเมื่อมีการปฏิบัติงานบนเครื่องบินในแต่ละเดือนอีกจำนวนหนึ่ง ช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม 2546 นางสาวสาวิตรีได้รับค่าชั่วโมงบินเป็นเงินเดือนละ 10,564 บาท 9,979 บาท และ 16,019 บาท ตามลำดับ
และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าข้อกำหนดในสัญญาจ้างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เอกสารหมาย จล. 1 หมายเลข 6 ข้อ 6.1 ที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเริ่มสัญญา หากพนักงานตั้งครรภ์ให้ถือว่าพนักงานได้บอกเลิกสัญญา เป็นข้อกำหนดที่ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในกรณีที่พนักงานเกิดการตั้งครรภ์ ขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตกเป็นโมฆะไม่อาจใช้บังคับแก่นางสาวสาวิตรีได้
ที่โจทก์อ้างในคำฟ้องว่า โจทก์ไม่ได้เลิกจ้างนางสาวสาวิตรี นางสาวสาวิตรีไม่มาทำงานให้โจทก์เพราะนางสาวสาวิตรีเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา พร้อมกับไม่มาทำงานถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรนั้น
โจทก์ไม่ได้ให้การและแสดงพยานหลักฐานให้เห็นเช่นนั้นไว้ในชั้นสอบสวนของ พนักงานตรวจแรงงาน เพิ่งกล่าวอ้างในคำฟ้อง เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ไม่อาจรับฟังให้ขัดกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ ให้การไว้ในชั้นสอบสวนของพนักงานตรวจแรงงานได้ ชั้นสอบสวนของพนักงานตรวจแรงงาน
นางวิไลวรรณ ศรีษเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลของโจทก์ในฐานะตัวแทนฝ่ายโจทก์ให้การไว้ตามเอกสารหมาย จล. 1 หมายเลข 3 ว่า โจทก์ได้เลิกจ้างนางสาวสาวิตรีเพราะเหตุนางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์ จึงต้องรับฟังว่าโจทก์เลิกจ้างนางสาวสาวิตรี เมื่อไม่ปรากฏว่าการเลิกจ้างของโจทก์ต้องด้วยข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 โจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นางสาวสาวิตรี ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า
การปฏิบัติงานบนเครื่องบินก็เป็นการทำงานในเวลาทำงานปกติของนางสาวสาวิตรี และโจทก์จ่ายค่าชั่วโมงบินให้แก่นางสาวสาวิตรีเมื่อมีการปฏิบัติงานบน เครื่องบิน ค่าชั่วโมงบินจึงเป็นเงินที่โจทก์จ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานแก่นาง สาวสาวิตรี จึงเป็นค่าจ้าง การที่จำเลยนำเงินค่าชั่วโมงบินที่นางสาวสาวิตรีได้รับ 90 วันสุดท้ายก่อนที่มีการเลิกจ้างมาคำนวณรวมเป็นค่าชดเชยให้โจทก์จ่ายให้แก่
นางสาวสาวิตรีจึงถูกต้องแล้ว คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานของจำเลยที่ 5/2547 ในส่วนที่สั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้แก่นางสาวสาวิตรีจำนวน 60,561 บาท จึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์และนางสาวสาวิตรี ชัยพนัส ตามสัญญาจ้างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเอกสารหมาย จล. 1 หมายเลข 6 ข้อ 6.1 ที่ว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเริ่มสัญญา หากพนักงาน (ซึ่งหมายถึงนางสาวสาวิตรีลูกจ้าง) ตั้งครรภ์ให้ถือว่าพนักงานได้บอกเลิกสัญญานี้แล้ว ตกเป็นโมฆะเพราะขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่
เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การใช้แรงงานเป็นไปอย่างเป็นธรรมและคุ้มครองลูกจ้าง ไม่ให้ถูกเอาเปรียบเป็นกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
พระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 43 บัญญัติว่า ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ ข้อตกลงระหว่างโจทก์และนางสาวสาวิตรีตามสัญญาจ้างพนักงานต้อนรับบนเครื่อง บินเอกสารหมาย จล. 1 หมายเลข 6 ข้อ 6.1 ที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเริ่มสัญญา หากนางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์ให้ถือว่านางสาวสาวิตรีได้บอกเลิกสัญญา เป็นข้อตกลงที่ต่อเนื่องเกี่ยวกันกับข้อตกลงในเรื่องสภาพการจ้างการสิ้นสุด ของสัญญาและการตั้งครรภ์ตามสัญญาดังกล่าวข้อ 2. ข้อ 5.2.2 และข้อ 6 ซึ่งสรุปได้ว่า
คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเข้าใจและยอมรับว่าการปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานต้อน รับบนเครื่องบินมีลักษณะเป็นการเฉพาะ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ มีบุคลิกภาพที่ดีและสุขภาพสมบูรณ์สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องบินขณะทำการบิน ได้ตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์กำหนดและไม่ถูกจำกัดทางเวชศาสตร์การบิน ซึ่งจะต้องได้รับการศึกษาอบรม การทดสอบและการตรวจร่างกายตามระยะเวลาที่โจทก์กำหนด พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจำเป็นต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อมจะเข้ารับการ ฝึกอบรมและปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความสามารถและประสบการณ์ในช่วงระยะเวลา 2 ปีแรกของการปฏิบัติงาน การตั้งครรภ์ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิบัติงานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตกลงเงื่อนไขเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ตามข้อ 6.1 ขึ้นเป็นข้อหนึ่งของสัญญาจ้าง ซึ่งข้อ 5.2.2 กำหนดว่า เมื่อนางสาวสาวิตรีได้กระทำผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ คำสั่งต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ในข้อ 2 กรณีร้ายแรง ให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง และข้อตกลงในข้อ 6.1 ที่กำหนดว่า ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันเริ่มสัญญา หากนางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์ให้ถือว่านางสาวสาวิตรีได้บอกเลิกสัญญานั้น
มีข้อความต่อไปอีกด้วยว่า โดยให้สัญญาสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งวินิจฉัยหรือ เมื่อเห็นได้ชัดว่านางสาวสาวิตรีตั้งครรภ์ จึงเห็นได้ว่าข้อตกลงข้อ 6.1 เป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีผลเป็นการเลิกจ้างเพราะนาง สาวสาวิตรีมีครรภ์ อันขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า ค่าชั่วโมงบินเป็นค้าจ้างหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าการปฏิบัติงานบนเครื่องบินเป็นการทำงานในเวลาทำงานปกติ ของนางสาวสาวิตรี แม้ค่าชั่วโมงบินที่นางสาวสาวิตรีได้รับในแต่ละเดือนจะมีจำนวนไม่แน่นอนและ ไม่เท่ากัน แต่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างก็จ่ายค่าชั่วโมงบินให้แก่นางสาวสาวิตรีเมื่อมีการ ปฏิบัติงานบนเครื่องบินในแต่ละเดือนทุกเดือน ตามอัตราที่คำนวณจากเวลาที่ได้ปฏิบัติงานบนเครื่องบิน ค่าชั่วโมงบินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่นางสาวสาวิตรีเป็นการ ตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงของวัน ทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ที่จำเลยนำค่าชั่วโมงบินมารวมเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...