ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
แม้จะปรากฏว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้นายจ้างรับพนักงานกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม หรือไม่ต่ำกว่าเดิม ในอัตราค่าจ้างเดิม
แต่ในเมื่อปรากฏว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่ได้ระบุว่า นายจ้างต้องมอบหมายงานให้พนักงานทำในสถานประกอบการหรือโรงงานเดิมเท่านั้น เพราะนายจ้างย่อมมีอำนาจในการบริหารและบังคับบัญชาพนักงานของตนเองได้
อีกทั้งยังปรากฏว่าการมอบหมายงานให้แก่พนักงานก็ไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระ หรือเป็นการกลั่นแกล้งพนักงานแต่อย่างใด
ดังนั้นการที่นายจ้างให้พนักงานไปทำงาน ณ โรงงานอื่น ซึ่งเป็นของนายจ้างเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่โรงงานเดิมที่พนักงานเคยทำงาน ซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานเดิม 2 กิโลเมตร โดยพนักงานยังคงทำงานในตำแหน่งเดิมหรือไม่ต่ำกว่าเดิมในอัตราค่าจ้างเดิม
ก็ถือได้แล้วว่าองค์กรได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ทุกประการแล้ว
พนักงานไม่สามารถบังคับให้ องค์กรรับพนักงานกลับไปทำงานยังโรงงานเดิมที่พนักงานเคยทำได้
อ้างอิงจากคำพิพากษาฎีกาที่ 3801-3842/2553 โดยโจทก์ ได้แก่นายทักษิณ ชื่นชม ที่ 1 กับพวก 24 คน ส่วนจำเลย ได้แก่ บริษัทไทยซัมมิท อิสเทิร์น ซีบอร์ด โอโตพาร์ทอินดัสตรี
โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ยื่นฟ้องจำเลยว่า ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 329-577/2550 และถือว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 19 มกราคม 2550 ไม่ให้โจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและได้รับสิทธิในการทำงานล่วงเวลา
ซึ่งก่อนหน้าที่จำเลยจะประกาศปิดงานนั้น โจทก์ได้ทำงานล่วงเวลาเฉลี่ยประมาณเดือนละ 70 ชั่วโมง ปัจจุบันจำเลยไม่ให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำงานล่วงเวลาเลย ทั้งๆที่ พนักงานคนอื่นของจำเลยที่ไม่ได้ถูกปิดงานก็ยังคงทำงานล่วงเวลาได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 70 ชั่วโมง ถือว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างในทางไม่เป็นคุณกับโจทก์ทั้งยี่สิบสี่
ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยให้จำเลยเลิกกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งยี่สิบสี่ โดยให้จำเลยรับโจทก์ทั้งยี่สิบสี่กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมหรือไม่ต่ำกว่าเดิมในสถานที่ทำงานเดิม ก่อนที่จะมีการปิดงานวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 19 มกราคม 2550
ทั้งให้จำเลยอนุญาตให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำงานล่วงเวลาได้ไม่น้อยกว่า 70 ชั่วโมง หรือเช่นพนักงานอื่นของจำเลย และให้จำเลยปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ โดยให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 329-577/2550 ให้จำเลยเลิกการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ทั้งยี่สิบสี่และมอบหมายงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำงานในตำแหน่งหน้าที่ไม่ต่ำกว่าเดิมและสถานที่เดิม
จำเลยให้การว่า บันทึกฉบับลงวันที่ 19 มกราคม 2550 มิใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามความในมาตรา 5 แห่ง พรบ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 แต่บันทึกดังกล่าวเป็นเพียงบันทึกของพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานกรณีที่จำเลยกับสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้า แห่งประเทศไทย สมัครใจตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน
จำเลยจัดงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำที่โรงงาน 3 ไม่ถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งยี่สิบสี่ และถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 329-577/2550 แล้ว
เพราะคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดังกล่าวให้จำเลยมอบหมายงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันที่จำเลยทราบคำสั่ง จำเลยทราบคำสั่งแล้วให้มอบหมายให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำงานที่โรงงานดังกล่าว ซึ่งอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับรองแล้ว ถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แล้ว
โจทก์ยี่สิบสี่ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยอนุญาตให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำงานล่วงเวลาเดือนละ 70 ชั่วโมง เพราะการอนุญาตให้พนักงานทำงานล่วงเวลานั้นขึ้นอยู่กับเหตุผลและความจำเป็น ซึ่งถือเป็นอำนาจการบริหารการจัดการของจำเลย
ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 บัญญัติไม่ให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาหากไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง จำเลยจึงไม่มีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งยี่สิบสี่สำนวน โจทก์ทั้งยี่สิบสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัย วันเริ่มเป็นลูกจ้างของโจทก์แต่ละคน ค่าจ้างของโจทก์แต่ละคนคือ เงินเดือน เบี้ยกันดาร วันที่จ่ายค่าจ้างแต่ละคน เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์แต่ละคน
สหภาพแรงงานยื่นข้อเรียกร้องเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ข้อเรียกร้องไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งสองฝ่ายสมัครใจตั้งผู้ชี้ขาดแรงงาน ตามสำเนาบันทึกฉบับลงวันที่ 19 มกราคม 2550 โจทก์ทั้งยี่สิบสี่และลูกจ้างอีกประมาณ 200 กว่าคน ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่ 329-577/2550 ให้จำเลยมอบหมายงานให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบสี่และลูกจ้างที่ยื่นข้อเรียกร้อง
หลังจากนั้นจำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ มีการมอบหมายงานให้ทำที่โรงงาน 3 ซึ่งไม่ใช่สถานที่เดิมที่โจทก์ทั้งยี่สิบสี่และลูกจ้างผู้ยื่นข้อเรียกร้องเคยทำงานอยู่
ต่อมาประธานสหภาพแรงงานได้มีหนังสือและขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีการประชุมร่วมกันและได้มีการมาตรวจสอบสถานที่ทำงานโรงงาน 3 ถือว่าจำเลยได้มอบหมายงานให้ลูกจ้างทำแล้วตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์
การมอบหมายงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำงานที่โรงงาน 3 ตำแหน่งหน้าที่เดิม โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวให้ความเห็นว่า ให้จำเลยจัดการให้ลูกจ้างทั้งหมดเข้าทำงานตามสภาพการจ้างเดิมและตามข้อตกลงฉบับลงวันที่ 19 มกราคม 2550
มีปัญหาต้องวินิฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบสี่ว่า จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 329-577/2550 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2550 ที่ให้จำเลยมอบหมายงานให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ถูกต้องแล้วหรือไม่
เห็นว่า หลังจากคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งแล้ว จำเลยรับโจทก์ทั้งยี่สิบสี่และลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม หรือไม่ต่ำกว่าเดิม ในอัตราค่าจ้างเดิม แต่ให้ไปทำงานที่โรงงาน 3 เป็นโรงงานของจำเลยอีกแห่งหนึ่ง ห่างจากโรงงานเดิมที่โจทก์ทั้งยี่สิบสี่เคยทำงานอยู่ก่อนที่จำเลยจะประกาศปิดงานประมาณ 2 กิโลเมตร
ซึ่งตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ให้จำเลยมอบหมายงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่และผู้ยื่นข้อเรียกร้องทำนั้นไม่ได้ระบุว่าต้องมอบหมายงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำในสถานประกอบการหรือโรงงานเดิม
เพราะนายจ้างย่อมมีอำนาจในการบริหารและบังคับบัญชาลูกจ้าง ซึ่งนายจ้างอาจมีเหตุผลอื่นที่จำเป็นและสมควรในการบริหารงานของตนเองได้
ทั้งการมอบหมายงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำก็ไม่เป็นการเพิ่มภาระแก่โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ หรือเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งยี่สิบสี่อย่างไร
ดังนั้นการที่จำเลยมอบหมายงานให้โจทก์ทั้งยี่สิบสี่ทำงานในตำแหน่งไม่ต่ำกว่ากว่าเดิมในอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม แม้ไม่ใช่สถานประกอบการหรือโรงงานเดิมแต่เป็นสถานประกอบการหรือโรงงานของจำเลยก็ถือได้ว่า
จำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แล้ว ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...