‘หลุมพรางนายจ้าง’ กับการเลิกจ้าง ‘สหภาพแรงงาน’ ที่ไม่เป็นธรรมโดยถูกกฎหมาย
เพราะชีวิตแรงงานในระบบ คือ ชีวิตที่มีความเสี่ยงกับสภาพการจ้างงานที่ดูราวกับว่า “มั่นคง แน่นอน” มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานหลายฉบับ แต่ใครจะรู้บ้างว่า “แรงงานในระบบ” คือ ชีวิตบนเส้นด้ายที่สายป่านสั้นและความไม่มั่นคงก็อยู่รายรอบ ถ้าใครสักคนหนึ่งหาญกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรที่ส่งผลให้นายจ้างรู้สึกว่า “พวกเขาและเธอ” ไม่ได้มาทำงานและรับค่าจ้างเพียงเท่านั้น ชะตากรรมที่จะหลุดจากรั้วโรงงานก็จะติดตามมาอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
4 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลแรงงานแห่งหนึ่งได้มีคำพิพากษา กรณีที่บริษัทแห่งหนึ่งได้ฟ้องเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) ที่ตัดสินให้บริษัทแห่งนี้ต้องรับลูกจ้าง (กรรมการสหภาพแรงงานจำนวน 4 คน) กลับเข้าทำงานและให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างนี้ เท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายนับตั้งแต่วันที่เลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำ งาน โดยคำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้นนี้ ได้ตัดสินให้เพิกถอนคำสั่งของ ครส. ฉบับนี้
คำถามสำคัญ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่บริษัทได้ทำผิดตามกฎหมายจริง แต่ทำไมศาลยังซ้ำเติมลูกจ้างอีกคำรบหนึ่ง
แม้จะได้ยินคำร่ำลือของการจัดตั้งสหภาพแรงงานที่มาพร้อมกับการเลิกจ้าง ผู้ก่อการและกรรมการสหภาพแรงงานในพื้นที่กลุ่มย่านอุตสาหกรรมอื่นๆสม่ำเสมอ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ “พวกเขาและเธอท้อถอย” เพราะคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
หลายปีที่ผ่านมาคนงานที่นี่ต้องเผชิญกับสภาพการจ้างที่ย่ำแย่มิใช่น้อย วันดีคืนดีนายจ้างก็บอกว่าขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างจากรายเดือนมาเป็นรายวัน , มีการย้ายโรงงานบางแผนกไปอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก, มีการตัดสวัสดิการต่างๆนานา มีกระทั่งหากพบชิ้นงานเสีย ลูกจ้างจะต้องทำการชดใช้เงิน และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งได้สร้างความยากลำบากในการทำงานให้กับคนงานอย่างมาก
ที่นี่ไม่ใช่บริษัทห้องแถวกิ๊กก๊อก แต่เป็นบริษัทด้านสิ่งทอขนาดกลางที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2541 ผลิตและส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ที่ใดมีความอยุติธรรม ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ นี้ย่อมคือสัจธรรม
ตุลาคม 2556 คนงานตัดสินใจยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงานกับนายจ้าง โดยเป็นไปตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ที่บัญญัติไว้ว่า “การเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการ จ้าง หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้างหรือลูกจ้างต้องแจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ”
มหกรรมเชือดไก่ให้ลิงดูก็เกิดขึ้นตามมาโดยทันที
-
บริษัทสั่งพักงานลูกจ้างที่เป็นผู้แทนเจรจารวม 5 คน โดยอ้างว่าทำตัวกระด้างกระเดื่อง ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
-
บริษัทเลิกจ้างลูกจ้างจำนวน 10 คน โดยอ้างว่าลูกจ้างกลุ่มนี้ไม่ยอมเซ็นสัญญาฉบับใหม่เพื่อรับสภาพเงื่อนไขใหม่ในการจ้างงาน
-
มีการลดตำแหน่งและโยกย้ายหน้าที่การงานของตัวแทนเจรจา
อย่างไรก็ตามคนงานก็ไม่ยอมจำนน พฤศจิกายน 2556 คนงานบริษัทแห่งนี้สามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานได้สำเร็จ
แต่นั้นเองความหวาดหวั่นมาเยี่ยมเยือนหัวใจ พอๆกับความท้าทายถึงอนาคตข้างหน้าว่าสหภาพแรงงานแห่งนี้จะอยู่รอดและคงมั่น ปานใด ในเมื่อ ณ พื้นที่แห่งนี้ ดูราวกับเป็นเขตปลอดสหภาพแรงงานอย่างถาวรมาหลายปีดีดัก และสหภาพแรงงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่นี้ก็เพิ่งจะเป็นแห่งที่ 5 ของจังหวัดนี้เช่นเดียวกัน
3 ธันวาคม 2556 ในที่สุดหลังจากผ่านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานมาร่วม 7 ครั้ง สหภาพแรงงานกับบริษัทก็ได้ข้อตกลงสภาพการจ้างฉบับสมบูรณ์
ผ่านไปแค่ 1 เดือน คำสั่งสายฟ้าฟาดมาเยือนประธานสหภาพแรงงาน, รองประธาน และกรรมการอีก 2 คน ทันที
6-7 มกราคม 2557 บริษัทได้เลิกจ้างคนกลุ่มนี้โดยแจ้งเลิกจ้างทางวาจา อีกทั้งในวันเดียวกันบริษัทก็ได้โอนเงินค่าชดเชย 3 เดือน และค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน ผ่านบัญชีธนาคารของลูกจ้างแต่ละคน
ท่ามกลางความมึนงง สับสน ไม่ทันตั้งตัว
วันรุ่งขึ้น 8 มกราคม 2557 ลูกจ้างทั้ง 4 คนนี้จึงได้ตัดสินใจไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) ว่าถูกบริษัทเลิกจ้าง ขณะที่ข้อตกลงสภาพการจ้างเพิ่งมีผลบังคับใช้ กล่าวได้ว่านายจ้างได้ทำความผิดตามมาตรา 121 และ 123 แห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 2518
สาระสำคัญโดยสรุปของ 2 มาตรา นี้ คือ ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างหรือกระทำการใดๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ เพราะเหตุที่ลูกจ้างหรือสหภาพแรงงานได้นัดชุมนุม ทำคำร้อง ยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา หรือดำเนินการฟ้องร้อง หรือเป็นพยาน และในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือคำชี้ขาด มีผลใช้บังคับ ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่ทุจริตต่อหน้าที่ ทำผิดตามระเบียบและข้อบังคับต่างๆตามที่กำหนดไว้
ดังนั้นลูกจ้างจึงขอให้ ครส. มีคำสั่งให้บริษัทแห่งนี้รับกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม และจ่ายค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายนับตั้งแต่วันที่เลิกจ้างจนถึง วันรับกลับเข้าทำงาน
ขณะเดียวกัน 5 กุมภาพันธ์ 2557 ลูกจ้างทั้ง 4 คน ที่ถูกเลิกจ้างก็ได้ไปร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน (ที่เรียกกันว่า เขียน คร. 7) เพื่อให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายจากการทำงาน (คือระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2556 - วันที่ 7 มกราคม 2557) เนื่องจากที่ผ่านมานั้น นายจ้างได้จ่ายเพียงแค่ค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าเพียงเท่านั้น แต่ค่าจ้างค้างจ่ายนายจ้างยังไม่ได้จ่าย ดังนั้นลูกจ้างจึงไปร้องเรียนเจ้าหน้าที่ในประเด็นนี้เพิ่มเติม
28 มีนาคม 2557 พนักงานตรวจแรงงานก็ได้มีคำสั่งให้บริษัทแห่งนี้จ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแก่กรรมการสหภาพแรงงาน 4 คนที่ถูกเลิกจ้าง
ใครเล่าจะรู้บ้างว่า............การรับค่าชดเชย รับค่าบอกกล่าวล่วงหน้าผ่านบัญชีธนาคารมาแล้ว และไปร้องเรื่องค่าจ้างค้างจ่าย จะกลายเป็น “หนามแหลมบาดชีวิตของลูกจ้างทั้ง 4 คนนี้” ในเวลาต่อมาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าต่อจากนี้
เมษายน 2557 ครส. มีคำสั่งให้บริษัทต้องรับลูกจ้าง 4 คนนี้กลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายนับตั้งแต่วันที่เลิกจ้างจนถึง วันรับกลับเข้าทำงาน เนื่องจากบริษัทได้เลิกจ้างลูกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมและลูกจ้างไม่มีความผิด
บริษัทอุทธรณ์คำสั่ง ครส. โดยไปฟ้องศาลแรงงานโดยบริษัทเป็นโจทก์ และ ครส. เป็นจำเลย โดยระบุว่าเหตุผลที่บริษัทเลิกจ้างลูกจ้างทั้ง 4 คนนี้นั้น ไม่ใช่เพราะเกี่ยวข้องกับการยื่นข้อเรียกร้อง แต่เป็นเพราะบริษัทปรับลดขนาดองค์กร อีกทั้งบริษัทก็ได้จ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าไปแล้วอย่างครบถ้วน ถูกต้องกฎหมาย จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่ลูกจ้างจะมาร้องต่อ ครส. เรื่องการกลั่นแกล้งและไม่เป็นธรรม ดังนั้นจึงขอให้ศาลแรงงานมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่ง ครส.ฉบับนี้ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ธันวาคม 2557 ศาลแรงงานนัดสืบพยาน มีการไกล่เกลี่ยระหว่างบริษัท กับ ครส. ทั้งนี้ในวันดังกล่าวบริษัทแจ้งต่อศาลว่า “การ รับลูกจ้างทั้ง 4 คน กลับเข้าทำงานเป็นเรื่องยากที่บริษัทจะรับข้อเสนอดังกล่าว และลูกจ้างทั้ง 4 ได้รับเงินค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไปครบถ้วนแล้ว” ในส่วนทนายจำเลย คือ ครส. ก็แถลงเช่นเดียวกันว่า “ลูกจ้างทั้งสี่ได้รับเงินค่าชดเชยและสินจ้างการบอกกล่าวล่วงหน้าไปครบถ้วนแล้วจริง”
วันนั้นศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อลูกจ้างทั้ง 4 คนได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามที่คู่ความแถลงรับกัน จึงไม่ต้องสืบพยานโจทก์และจำเลยอีกต่อไป นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์2558 เลย
4 กุมภาพันธ์ 2558 ณ บัลลังก์พิจารณา ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 225/2557 ทีละบรรทัดๆ จนมาถึงวรรคท้ายช่วงสำคัญ
แค่การหางานทำใหม่และทำมาหาเลี้ยงชีพแต่ละวันๆ ให้รอดก็ยากพอแล้ว เมื่อมานั่งอ่านคำพิพากษาแต่ละบรรทัดๆ ที่เป็นภาษากฎหมาย อ้างอิงมาตราต่างๆ กฎหมายฉบับต่างๆ ก็ยิ่งความมึนงงให้กับลูกจ้างมากขึ้นไปอีกว่า “แล้วตนเองควรทำอย่างไร ภายใต้ชะตาชีวิตแบบนี้”
ใครบางคนพยายามอธิบายด้วยภาษาง่ายๆให้ฟังว่า
คำพิพากษาศาลแรงงานฉบับนี้ ได้เดินตามบรรทัดฐานของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3808/2547 ทุกประการ กล่าวคือ คำพิพากษาฉบับที่ 3808/2547 นี้ ได้วางบรรทัดฐานไว้ว่า
ใครอีกคนก็อธิบายด้วยภาษาที่ง่ายขึ้นไปอีกว่า
เพราะบริษัทต้องรู้ช่องว่างของกฎหมายแน่นอน บริษัทจึงเลือกกำจัดลูกจ้างในฐานะ “สหภาพแรงงานผู้หัวแข็ง” ด้วยการโอนเงินผ่านระบบบัญชีธนาคารแทน เพื่อทำให้ลูกจ้างที่ไม่รู้ช่องทางทางกฎหมายต้องรับสภาพการเลิกจ้างไปโดย ปริยาย นี้ไม่นับว่าบริษัทก็ยังมีหลักฐานอีกว่า พนักงานตรวจแรงงานก็มีคำสั่งให้บริษัทต้องจ่ายเงินค้างจ่ายจากการทำงานให้ ลูกจ้างอีก เหล่านี้เป็นหลักฐานรูปธรรมทั้งสิ้นที่ส่งผลให้การเลิกจ้างดังกล่าวถูก กฎหมายและชอบธรรม
ประสิทธิ์ ประสพสุข รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (CILT) และมงคล ยางงาม นักจัดตั้งสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย (TAW) ผู้คร่ำหวอดและคุ้นชินกับประเด็นการเลิกจ้างนักสหภาพแรงงาน อธิบายประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ในเมื่อถ้าลูกจ้างรู้แล้วว่าตนเองถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อันดับแรกต้องไปแจ้งความดำเนินคดีทางอาญาเอาผิดกับนายจ้าง นำข้อตกลงสภาพการจ้างฉบับนั้นไปบันทึกไว้เป็นหลักฐานก่อน และให้ถอนเงินนั้นออกมาเป็นหลักฐานว่า เป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะลูกจ้างไม่ได้อยากถูกเลิกจ้าง แต่นายจ้างกลับมัดมือชกโอนเข้าบัญชีมาเอง เพื่อแสดงว่าลูกจ้างไม่ยอมรับการเลิกจ้างด้วยวิธีบังคับขืนใจให้สมยอมแบบนี้
หลังจากนั้นให้ลูกจ้างไปยื่นคำร้องต่อ ครส. เพื่อให้ ครส.มีคำสั่งให้นายจ้างต้องรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายจากการ เลิกจ้างครั้งนี้เท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายนับตั้งแต่วันที่เลิกจ้างจนถึง วันรับกลับเข้าทำงาน
ซึ่งคาดการณ์ได้ไม่ยากอีกว่าในกรณีแบบนี้ว่า ครส. ก็จะตัดสินให้ลูกจ้างชนะ และนายจ้างก็จะอุทธรณ์คำสั่งโดยไปฟ้องศาลแรงงานจนถึงขั้นศาลฎีกา
สิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีนี้จึงสอนให้ลูกจ้างต้องละเอียดรอบคอบมาก ขึ้นในการก้าวเดิน นายจ้างมีที่ปรึกษากฎหมายทำให้ลูกจ้างเสียเปรียบ จากนี้ไปเมื่อโดนเคสแบบนี้ต้องทำหนังสือคัดค้านการเลิกจ้างส่งถึงบริษัท สำเนาเรียนสวัสดิการและคุ้มครองฯไว้เป็นหลักฐาน แจ้งความเรื่องมีเงินไม่ชอบโอนเข้าบัญชีเรา แจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อนายจ้างละเมิดพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ มาตรา 31 และ ร้องครส. ตามมาตรา 121 -123 ต้องปิดช่องว่างทางกฎหมายให้หมด”
บนเส้นทางนักต่อสู้ ย่อมมีความหมาย ขอให้เพียงได้ลุกขึ้นสู้ ย่างก้าวแห่งการต่อสู้จักมีความหมาย นักรบย่อมมีบาดแผลและร่องรอยความเจ็บปวดข่นแค้นเสมอมา
ปี 2553 ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาฎีกาที่ 8802/2553 โดยวางบรรทัดฐานไว้ว่า “ค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าจากการเลิกจ้าง กับ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นคนละเรื่องกัน” กล่าวได้ว่าบนเส้นทางที่ดูเหมือนจะตีบตัน ลูกจ้างทั้ง 4 คนนี้ ก็ยังสามารถใช้สิทธิฟ้องศาลแรงงานกรณีให้นายจ้างต้องจ่ายค่าเสียหายจากการ เลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้เช่นเดียวกัน
กล่าวคือ
พรนารายณ์ ทุยยะค่าย หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ปิดท้ายการสนทนาด้วยบทสรุป และสะท้อนถึงชีวิตแรงงานในระบบในประเทศไทย ที่โหดร้ายทารุณมิใช่น้อยว่า
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะท้อนถึงความยากลำบากของคนงานที่ต้องต่อสู้ กับระบบทุนและส่วนอื่นๆที่ทำให้ทุนได้รับชัยชนะเหนือลูกจ้าง แต่ในเมื่อกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้ นายจ้างก็กระทำสิ่งต่างๆได้ และลูกจ้างก็ต้องไปต่อสู้เอง
ที่ผ่านมาได้แนะนำลูกจ้างเสมอมาว่า กระบวนการทางศาลขอให้เป็นช่องทางสุดท้าย มีหลายครั้งที่ลูกจ้างพอไปถึงศาลจำชื่อตนเองไม่ได้ก็มี หรือเคยเข้าไปในฐานะทนายความก็เคยถูกศาลให้ออกนอกห้องมาแล้ว หรือหลายกรณีมีการไกล่เกลี่ย กดดันให้ลูกจ้างต้องยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม
บางครั้งกฎหมายกลายเป็นเครื่องมือให้ลูกจ้างต้องยอมรับสภาพที่เกิด ขึ้น แม้กฎหมายเขียนไว้ว่าให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยจากการเลิกจ้าง ถ้านายจ้างไม่จ่าย ลูกจ้างไปฟ้องศาลเอง บางครั้งก็ฟ้องแค่เรื่องเรียกค่าชดเชยตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เท่านั้น โดยค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจะเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรง งานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ก็ตกหล่นเรื่องนี้ไปก็มี หรือไกล่เกลี่ยก็เพียงแค่เรื่องรับค่าชดเชย แต่ไม่ได้พิจารณาถึงค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ลูกจ้างก็ต้องได้รับด้วย
อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดๆที่ระบุว่า เมื่อนายจ้างรับคนงานกลับเข้าไปทำงานแล้วภายหลังข้อพิพาทแรงงานเป็นที่สิ้น สุด จะต้องคงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดิม สถานะเดิม คือ มาอย่างไร ไปอย่างนั้น ไม่ใช่มาอย่างไร เวลากลับไป ให้ไปนั่งในเต็นท์ นี้คือการผิดหลักการอย่างยิ่ง
กฎหมายคุ้มครองแรงงานดูเหมือนว่าจะคุ้มครองลูกจ้างได้จริง ถ้อยคำสวยหรู แต่เนื้อแท้ วิธีปฏิบัติกลับไม่สามารถใช้ได้จริง พึ่งศาลก็ล่าช้า กลายเป็นความอยุติธรรม ต่อสู้มานานจะได้รับความเยียวยาอย่างไร หรือบางทีศาลเองก็มองว่าแก้วมันร้าวกลับไปทำงานไม่ได้อยู่แล้ว มองว่าเข้าไปก็ลำบาก ถ้านายจ้างยืนยันไม่รับเข้าไปทำงาน ก็เข้าลำบาก ซึ่งโดยข้อเท็จจริงลูกจ้างก็ยังไม่ได้ลองกลับเข้าไปทำงานเลย
แล้วสุดท้ายชีวิตลูกจ้างจะอยู่อย่างไร เพราะเกิดปัญหาครั้งใดก็ผลักไปคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์(ครส.) ผลักไปศาลแรงงาน นี้จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาการจ้างงานในประเทศอย่างยั่งยืนแต่อย่างใด”
บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์
15 มีนาคม 2558
หมายเหตุผู้เขียน: ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคุณประสิทธิ์ ประสพสุข , คุณมงคล ยางงาม และคุณวิทยากร บุญเรือง สำหรับการแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ต่อการขบคิดประเด็นต่างๆเพิ่มเติมมิใช่น้อย
15/Mar/2015