ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
อ้างอิงจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2557
ก่อนที่จำเลยทั้งสองออกคำสั่งที่ 94/2550 สั่งให้โจทก์รับลูกจ้างในส่วนที่โจทก์ปิดงานกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้ตามอัตราที่เคยจ่าย จำเลยทั้งสองให้โอกาสโจทก์และสหภาพแรงงานอัลมอนด์ดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาโดยตลอดจนถึงขั้นตอนที่โจทก์ใช้สิทธิปิดงานสำหรับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานประมาณ 150 คน
และหลังจากนั้นจำเลยทั้งสองยังคงควบคุมดูแลข้อพิพาทแรงงานอย่างใกล้ชิดตลอดมาโดยให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าไกล่เกลี่ยอีกหลายครั้ง แต่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ และมีทีท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ฝ่ายลูกจ้างจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดงานพากันไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล สถานทูตสหรัฐอเมริกา และไปพบคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติที่กองทัพบก ปรากฏว่าแต่ละหน่วยงานไม่สามารถแก้ปัญหาข้อพิพาทแรงงานนี้ได้
ทั้งพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีกเหตุการณ์อันเนื่องมาจากข้อพิพาทแรงงานอาจเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศ อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน หรืออาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้กิจการของโจทก์เป็นการผลิตและส่งออกสินค้าประเภทเครื่องประดับ และโจทก์ปิดงานโดยถูกขั้นตอนตามกฎหมายก็ตาม ก็ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 35 ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจะใช้ดุลพินิจมีคำสั่งให้นายจ้างซึ่งปิดงานรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานตามเดิมโดยจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่เคยจ่ายเพื่อรอการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ คำสั่งที่ 94/2550 ของจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยกฎหมาย
ไม่มีเหตุเพิกถอน
คำพิพากษาย่อยาว
มาตรา 24 เป็นบทบัญญัติให้นำมาใช้แก่ข้อพิพาทแรงงานที่อยู่ในขั้นตอนที่เป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ แต่ขณะที่จำเลยทั้งสองออกคำสั่งที่ 94/2550 ข้อพิพาทแรงงานรายนี้ได้ล่วงเลยขั้นตอนข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้จนถึงขั้นตอนการปิดงานแล้ว จึงนำมาตรา 24 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจผลิตเครื่องประดับกายเพื่อการส่งออกได้ร้บการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในสถานประกอบการของโจทก์มีสหภาพแรงงานอัลมอนด์ซึ่งมีสมาชิกที่เป็นลูกจ้างของโจทก์ 165 คน จากลูกจ้างทั้งหมด 587 คน
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมระหว่างโจทก์กับสหภาพแรงงานฯ ทำขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 – วันที่ 31 มกราคม 2550 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550 สหภาพแรงงานฯ แจ้งข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง วันเดียวกันโจทก์ก็ได้แจ้งข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อสหภาพแรงงานฯ เช่นกัน มีการประชุมเจรจากันหลายครั้งแต่ไม่สามารถหาข้อยุติได้
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการไกล่เกลี่ยหลายครั้งก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ จึงเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ สมาชิกสหภาพแรงงานฯได้เคลื่อนไหวรวมตัวชุมนุม ขัดขวางการดำเนินธุรกิจของโจทก์ กดดัน ก่อกวนสร้างความวุ่นวายขึ้น มีแนวโน้มจะเกิดความรุนแรงและไม่ปลอดภัยในร่ายกายและทรัพย์สินของโจทก์
เพื่อป้องกันความเสียหายดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2550 โจทก์จึงใช้สิทธิปิดงานตั้งแต่เวลา 7 น. ของวันที่ 9 เมษายน 2550 เป็นต้นไป เฉพาะลูกจ้างของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องซึ่งมีจำนวนร้อยละ 30 ของลูกจ้างทั้งหมด
ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ได้สร้างความวุ่นวาย กดดัน ข่มขู่ลูกจ้างอื่น รวมตัวไปชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล หน้ารัฐบาลและหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา
วันที่ 30 เมษายน 2550 ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีหนังสือถึงโจทก์ขอความร่วมมือให้ยุติการปิดงาน
แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยและมีหนังสือชี้แจงกลับไป เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีคำสั่งที่ 94/2550 อ้างหากปล่อยให้ข้อพิพาทแรงงานยืดเยื้อต่อไปอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศหรืออาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน หรืออาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนได้ จึงมีคำสั่งให้โจทก์รับลุกจ้างที่ถูกปิดงานกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้และให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดำเนินการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานรายนี้โดยเร็ว
โจทก์เห็นว่าคำสั่งของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 6 ลงวันที่ 20 กันยายน 2549 ทั้งการปิดงานของโจทก์ไม่เข้าองค์ประกอบในมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 94/2550 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์และสหภาพแรงงานอัลมอนด์ต่างยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง เจรจากันเองรวม 6 ครั้ง ไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งสองฝ่ายแจ้งพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไกล่เกลี่ย 3 ครั้ง ไม่สามารถตกลงกันได้
โจทก์มีหนังสือแจ้งกรมสวัสดิการและคุ้มครองใช้สิทธิปิดงานเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานฯ 228 คน ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2550 เป็นต้นไป
ต่อมาวันที่ 19 เมษายน 2550 สมาชิกสหภาพแรงงานฯ ซึ่งถูกปิดงานประมาณ 150 คน ไปยื่นหนังสือร้องเรียนนายกรัฐมนตรี วันที่ 26 เมษายน 2550 สมาชิกสหภาพแรงงานฯไปยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา
ระหว่างปิดงานพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้ทำการไกล่เกลี่ยอีกรวม 5 ครั้ง ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ วันที่ 8 พฤษภาคม 2550 ตัวแทนสหภาพแรงงานฯ เข้าพบรองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ขณะเดียวกันสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ประมาณ 80 คน ไปชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลและเดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบกเพื่อยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือ วันที่ 11 พฤษภาคม 2550 จำเลยที่ 2 นัดทั้งสองฝ่ายมาเจรจา แต่ฝ่ายโจทก์ไม่มาตามนัดและปฏิเสธการเจรจา
จำเลยที่ 2 เห็นว่าหากปล่อยให้ข้อพิพาทแรงงานนี้ยืดเยื้อต่อไปอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศ อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนได้ จึงใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 35 สั่งให้โจทก์ผู้เป็นนายจ้างซึ่งปิดงานรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่เคยจ่าย และให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดำเนินการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานระหว่างโจทก์กับสหภาพแรงงานฯ โดยเร็ว คำสั่งกระทรวงแรงงานที่ 94/2550 ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนเปลี่ยนแปลง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฏีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำสั่งของจำเลยทั้งสองที่ 94/2550 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเหตุเพิกถอนหรือไม่
เห็นว่า จำเลยทั้งสองอ้างว่าได้ออกคำสั่งดังกล่าวอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 35 ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่รัฐมนตรีเห็นว่าการปิดงานหรือการนัดหยุดงานอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศ หรืออาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนหรืออาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ หรืออาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ให้รัฐมนตรีมีอำนาจดังต่อไปนี้
1 สั่งให้นายจ้างซึ่งปิดงานรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่เคยจ่ายให้แก่ลูกจ้างนั้น
4 สั่งให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดำเนินการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน
ที่มาของการออกคำสั่งข้างต้นของจำเลยทั้งสองปรากฏตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่า โจทก์ประกอบกิจการผลิตเครื่องประดับเพื่อส่งออก ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โจทก์มีลูกจ้างประมาณ 580 คน ในสถานประกอบการของโจทก์ลูกจ้างได้ก่อตั้งสหภาพแรงงานอัลมอนด์มีสมาชิกประมาณ 220 คน
เดิมโจทก์และสหภาพแรงงานฯ มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2550
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550 สหภาพแรงงานฯ ยื่นข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์ วันเดียวกันโจทก์ก็ได้ยื่นข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อสหภาพแรงงานฯ ตามเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 ตัวแทนทั้งสองฝ่ายเจรจากันเอง 6 ครั้ง ไม่สามารถตกลงกันได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายแจ้งข้อพิพาทแรงงานต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไกล่เกลี่ย 3 ครั้ง ไม่สามารถตกลงกันได้
โจทก์มีหนังสือแจ้งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานใช้สิทธิปิดงานเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2550
หลังจากโจทก์ปิดงานแล้ว พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานยังนัดไกล่เกลี่ยอีก ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ วันที่ 19 เมษายน 2550 ลูกจ้างที่ถูกปิดงานประมาณ 150 คน ไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือ
หลังจากนั้นพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานนัดไกล่เกลี่ยอีก 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ วันที่ 26 เมษายน 2550 สมาชิกสหภาพแรงงานฯ ที่ถูกปิดงานประมาณ 150 คน รวมตัวกันไปยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทำการไกล่เกลี่ยอีก 2 ครั้ง ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ วันที่ 8 พฤษภาคม 2550 สมาชิกสหภาพแรงงานฯ ประมาณ 80 คน ชุมนุมกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาลและเดินทางไปยื่นหนังสือที่กองบัญชาการทหารบกเพื่อขอความช่วยเหลือต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ วันที่ 11 พฤษภาคม 2550 จำเลยที่ 2 นัดเจรจาไกล่เกลี่ยครั้งสุดท้าย ฝ่ายโจทก์ไม่มาตามนัด
จำเลยที่ 2 จึงใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 35 ออกคำสั่งให้โจทก์ยุติการปิดงาน โดยรับลูกจ้างที่ถูกปิดงานกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างในอัตราที่เคยจ่ายและให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดำเนินการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานโดยเร็วตามคำสั่งที่ 94/2550 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5
หลังจากจำเลยที่ 2 ออกคำสั่งดังกล่าวแล้ว โจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 แต่ไม่พอใจคำสั่งดังกล่าว จึงได้ใช้สิทธิฟ้องร้องคดีนี้ก่อนคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานระหว่างโจทก์กับสหภาพแรงงานฯ ตามคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ที่ 1/2550 เอกสารหมาย ล.2 จะเห็นได้ว่า
ก่อนที่จำเลยทั้งสองออกคำสั่งที่ 94/2550 สั่งให้โจทก์รับลูกจ้างในส่วนที่โจทก์ปิดงานกลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้ตามอัตราที่เคยจ่าย จำเลยทั้งสองให้โอกาสและสหภาพแรงงานอัลมอนด์ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาโดยตลอดจนถึงขั้นตอนที่โจทก์ใช้สิทธิปิดงานสำหรับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ประมาณ 150 คน
และหลังจากนั้นจำเลยทั้งสองยังคงควบคุมดูแลข้อพิพาทแรงงานรายนี้อย่างใกล้ชิดตลอดมาโดยให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าไกล่เกลี่ยอีกหลายครั้ง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามหลักการให้เกิดแรงงานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโจทก์กับลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานอย่างเต็มที่แล้ว
แต่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ และมีทีท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายลูกจ้างจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดงานของโจทก์พากันไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล สถานทูตสหรัฐอเมริกา และไปพบคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติที่กองทัพบก ปรากฏว่าแต่ละหน่วยงานไม่สามารถแก้ปัญหาข้อพิพาทแรงงานนี้ได้
ทั้งพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีกเหตุการณ์อันเนื่องมาจากข้อพิพาทแรงงานอาจเกิดเหตุร้าย แรงขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของประเทศ อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน หรืออาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้กิจการของโจทก์เป็นผลิตและส่งออกสินค้าประเภทเครื่องประดับ และโจทก์ปิดงานโดยถูกขั้นตอนตามกฎหมายก็ตามก็ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 35 ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจะใช้ดุลพินิจมีคำสั่งให้นายจ้างซึ่งปิดงานรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานตามเดิมโดยจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่เคยจ่ายเพื่อรอการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ คำสั่งที่ 94/2550 ของจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุเพิกถอน
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยทั้งสองออกคำสั่งดังกล่าวโดยใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 35 เป็นการข้ามขั้นตอน เพราะที่ถูกต้องใช้อำนาจตามมาตรา 24 ก่อน นั้น เห็นว่า มาตรา 24 เป็นบทบัญญัติให้นำมาใช้แก่ข้อพิพาทแรงงานที่อยู่ในขั้นตอนที่เป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
แต่ขณะที่จำเลยทั้งสองออกคำสั่งที่ 94/2550 ข้อพิพาทแรงงานรายนี้ได้ล่วงเลยขั้นตอนข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้จนถึงขั้นตอนการปิดงานแล้ว จึงนำมาตรา 24 มาใช้บังคับไม่ได้ อุทธรณ์ดังกล่าวของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองไม่ยอมรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ที่จะแสดงว่าโจทก์ปิดงานถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายโดยไม่ได้นำเรื่องที่ลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ก่อความวุ่นวาย ขัดขวางการดำเนินกิจการของโจทก์ ก่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายมาพิจารณาประกอบ
แต่กลับรับฟังพยานหลักฐานของลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯ และพนักงานประนอมข้อพิพาทนำเสนอเพียงฝ่ายเดียวว่าการปิดงานของโจทก์ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯ เห็นว่า
อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้โจทก์ไม่ได้กล่าวไว้ในคำฟ้อง แต่เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...