คลายทุกข์ชาวบ้าน: หญิงที่หย่ากับสามีต้องรอ ๓๑๐ วันจึงจะทำการสมรสใหม่ได้
ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ เรื่องการสมรส ซึ่งการสมรสตามกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไข ไว้หลายประการ ดังนี้
๑.การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้
๒.การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
๓.ชาย-หญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดีเป็นพี่น้อง ร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี จะทำการสมรสกันไม่ได้ ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายโลหิต โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
๔.ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้
๕.การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชาย-หญิงยินยอมเป็นสามี ภริยากันและต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผย ต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย เมื่อทำการสมรสกันแล้ว หากอยู่ด้วยกันด้วยดีก็จะไม่มีประเด็นที่เป็นปัญหา แต่จากข้อมูลสถิติในการหย่าร้างกันมีค่อนข้างสูง สำหรับประเทศไทย เมื่อหย่าขาดจากกันแล้ว การสมรสใหม่ของฝ่ายชายไม่มีปัญหา สามารถสมรสใหม่ได้ทันที แต่หญิงที่การสมรสสิ้นสุด มีข้อจำกัดทางกฎหมาย กล่าวคือ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติเอาไว้ในมาตรา ๑๔๕๓ หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทำการสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน เว้นแต่ (๑) คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น (๒) สมรสกับคู่สมรสเดิม (๓) มีใบรับรองแพทย์ประกาศนียบัตร หรือปริญญาซึ่งเป็นผู้ประกอบการรักษาโรคในสาขาเวชกรรมได้ตามกฎหมายว่ามิได้มีครรภ์ หรือ (๔) มีคำสั่งของศาลให้ สมรสได้
เหตุที่กฎหมายห้ามหญิงที่หย่าหรือการสมรสสิ้นสุดจะทำการสมรสได้เมื่อครบ ๓๑๐ วัน เพื่อป้องกันการจะพิสูจน์ว่า บุตรที่เกิดขึ้นหลังการหย่าหรือการสมรสสิ้นสุดนั้นเป็นบุตรของสามีคนเดิม หรือเป็นบุตรของสามีคนใหม่ อันอาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร ค่าอุปการะเลี้ยงดู และทรัพย์มรดกจึงต้องใช้เกณฑ์ ๓๑๐ วัน เนื่องจากหญิงจะตั้งท้อง และคลอดไม่เกินจากกำหนดเวลาดังกล่าวนี้
หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- เสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2559
กับ : วิเชียร ชุบไธสง
25/Sep/2016