ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
"นอกจากศาลแรงงานแล้ว “ศาลปกครอง” เป็นอีกศาลหนึ่งที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาให้ใช้ระบบไต่สวน โดยระบุไว้ใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 55 (วรรคสาม) ว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลปกครองอาจตรวจสอบและแสวงหาข้อเท็จจริงได้ตามความเหมาะสม ในการนี้ ศาลปกครองจะรับฟังพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผู้เชี่ยวชาญ หรือพยานหลักฐานอื่นนอกเหนือจากพยานหลักฐานของคู่กรณีได้ตามที่เห็นสมควร
โดยท้าย พ.ร.บ.ดังกล่าว ให้เหตุผลที่กำหนดให้ใช้ระบบไต่สวนกับคดีปกครอง เนื่องจากคดีปกครองเป็นคดีข้อพิพาทว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของภาครัฐที่มีผลกระทบกับภาคเอกชน ซึ่งภาคเอกชน มักเสียเปรียบภาครัฐเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐได้ นอกจากนี้ยังต้องใช้ตุลาการที่มีความเชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะในการพิจารณาคดีอีกด้วย"
“ผู้ใช้แรงงาน” คือผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไม่ว่าจะอยู่ในภาคส่วนใดก็ตาม สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากรายงาน “แรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2559” จัดทำโดย สำนักงานสถิติ แห่งชาติ พบว่า ในปี 2559 มีคนไทยที่มีงานทำทั้งสิ้นประมาณ 38.2 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็น “แรงงานในระบบ” อยู่ตามองค์กรต่างๆ 16.9 ล้านคน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ที่สุด คือ ลูกจ้างรัฐบาล (เช่น ข้าราชการ พนักงานราชการหรือลูกจ้างประจำ) 3.3 ล้านคน และ ลูกจ้างเอกชน พนักงานตามบริษัทห้างร้าน 12.6 ล้านคน
สำหรับแรงงานในระบบ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “มนุษย์เงินเดือน” เชื่อว่าผู้ที่เลือกประกอบอาชีพในเส้นทางนี้มักคิดถึง “ความมั่นคง” ในชีวิตของตนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เห็นได้จากงานในสังกัดราชการที่แม้รายได้อาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับงานประเภทเดียวกันในภาคเอกชน แต่มีความมั่นคงสูง อาทิ มีสวัสดิการหลากหลายครอบคลุมทั้งตนเอง บิดามารดา คู่สมรสและบุตร รวมถึงหากไม่ทำผิดร้ายแรงจริงๆ โอกาสถูกให้ออกจากงานเป็นไปได้ยากมาก ทำให้การสอบบรรจุเข้ารับราชการ ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจจนถึงปัจจุบัน
ตรงข้ามกับงานภาคเอกชน แม้เข้าทำงานอาจจะไม่ยากลำบากมากเท่าการเข้ารับราชการ อีกทั้งมีตำแหน่งงานหลากหลายกว่า แต่เรื่องของความมั่นคงในชีวิตลูกจ้างเอกชน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามี “ความเหลื่อมล้ำ” ในหลายๆ เรื่อง แรงงานภาคเอกชนมีความเสี่ยงทั้งสภาพแวดล้อมการทำงาน และการถูกเลิกจ้างด้วยสาเหตุต่างๆ นานา จึงมีความพยายามออกกฎหมายมาเพื่อลดปัญหาดังกล่าว เช่น กฎหมายกองทุนประกันสังคม กฎหมายคุ้มครองแรงงาน รวมถึงมี พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ขึ้นมาพิจารณาคดีแรงงานเป็นการเฉพาะ
ซึ่งข้อดีประการหนึ่งของกฎหมายดังกล่าว คือการนำ “ระบบไต่สวน” มาใช้ ดังที่ระบุใน มาตรา 45 ไว้ว่า “เพื่อประโยชนแห่งความยุติธรรมในอันที่จะให้ไดความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดี ให้ศาลแรงงานมีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาสืบไดเองตามที่เห็นสมควร” ต่างจากศาลยุติธรรมอื่นๆ ที่ใช้ “ระบบกล่าวหา” คู่ความทั้งโจทก์และจำเลยต้องหาพยานหาหลักฐานมายืนยันข้อเท็จจริงของตนเอง ศาลไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ก็ยังมีประเด็นให้ต้องแก้ไข อาทิ ในงานแถลงข่าว “สถานการณ์การเลิกจ้างคนงานกับข้อจำกัดของกระบวนการยุติธรรมที่ยังรอการปฏิรูป : แถลงผลงานฝ่ายกฎหมาย คสรท. กับการช่วยเหลือคนงานให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม” ณ รร.บางกอกพาเลส ย่านมักกะสัน-ราชปรารภ กรุงเทพฯ ชาลี ลอยสูง ประธานฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงปัญหาที่พบเมื่อ คสรท. เข้าไปให้ความช่วยเหลือทางคดีความกับผู้ใช้แรงงาน
อาทิ การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม สำหรับผู้ใช้แรงงานแล้วยังยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่กรณี หลายครั้งฝ่ายนายจ้างมักจะใช้จุดนี้ต่อรองกับลูกจ้าง ประเภท “อยากได้ให้ไปฟ้องเอาเอง” ขณะที่ผู้พิพากษาอาชีพประจำศาลแรงงานมาจากกระบวนการศึกษาในระบบกฎหมายทั่วๆ ไป ซึ่งอาจขาดความเข้าใจในคดีแรงงาน เช่น “มองว่านายจ้างกับลูกจ้างสถานะเท่าเทียมกันเหมือนคู่ความในคดีแพ่ง” ทั้งที่นายจ้างและลูกจ้างมีศักยภาพในการเข้าถึงพยานหลักฐานไม่เท่ากัน
ปธ.ฝ่ายกฎหมาย คสรท. กล่าวต่อไปว่า ผู้พิพากษาสมทบ พบว่าบางกรณีผู้ที่เป็นตัวแทนฝ่ายลูกจ้างไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของลูกจ้างได้เต็มที่ เนื่องจากขาดความรู้เข้าใจเข้าในกฎหมายแรงงานอย่างลึกซึ้ง ขณะที่ผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย หลายคนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาของผู้ใช้แรงงาน ทำให้ค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับไม่สอดคล้องกับความเสียหายที่ลูกจ้างได้รับจากการถูกเลิกจ้าง นอกจากนี้ จำนวนผู้พิพากษาในศาลแรงงานที่มีน้อย ทำให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างล่าช้า
“เจตนาของการร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มีที่มาจากการพิจารณาคดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในเรื่องค่าจ้าง สวัสดิการ และอื่นๆ ดังนั้นทำอย่างไรจึงทำให้ลูกจ้างได้รับความเป็นธรรม ดังนั้นผู้พิพากษาต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีความเข้าใจด้านกฎหมายแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานเป็นสำคัญ” นายชาลี กล่าว
สอดคล้องกับที่ พรนารายณ์ ทุยยะค่าย ทนายความประจำ คสรท. กล่าวเสริมว่า ศาลแรงงานถูกออกแบบให้ใช้ระบบไต่สวน ซึ่งผู้พิพากษามีอำนาจเรียกหาพยานหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีได้ เช่น “กรณีลูกจ้างบอกว่าได้โทรศัพท์ลางานแล้ว แต่นายจ้างบอกไม่ทราบเรื่อง ผู้พิพากษาสามารถขอให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ส่งบันทึกการใช้โทรศัพท์มาประกอบการพิจารณาคดีได้ทันที” โดยไม่ต้องให้ลูกจ้างเขียนคำร้องซึ่งเป็นภาระกับลูกจ้างแต่อย่างใด โดยเฉพาะหากลูกจ้างไม่มีทนายความคอยช่วย ทั้งนี้เอกสารหลักฐานต่างๆ มักอยู่ในความครอบครองของนายจ้าง
พรนารายณ์ ระบุว่า คดีแรงงานมีความแตกต่างกับคดีทั่วไป เพราะเป็นการต่อสู้กันในเชิงอำนาจตลอดเวลาระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงาน หากศาลในฐานะผู้ชี้ขาดไม่เข้าใจประเด็นนี้ “โอกาสที่สหภาพแรงงานในประเทศไทยจะเข้มแข็งก็เป็นไปได้ยาก” คนที่มีภาระครอบครัวจะไม่กล้ามาทำงานกับสหภาพแรงงาน “การยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานไทยให้ดีขึ้นย่อมเป็นเรื่องยาก” เพราะอำนาจการต่อรองของฝ่ายแรงงานก็จะน้อยลงไปด้วย
“ปัจจุบันผู้พิพากษาศาลแรงงานเป็นสายกว้าง คือใครก็ตามที่เห็นสมควร แต่ถ้าเป็นสายตรง เช่น เคยอยู่ศาลแรงงานก็ขอให้อยู่ยาวไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน ท่านก็จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อการันตีได้ว่า เมื่อแรงงานไปฟ้องหรือใช้สิทธิ์ทางศาลก็จะมองภาพออก” พรนารายณ์ ฝากข้อเสนอแนะ
อนึ่ง..ย้อนไปเมื่อ 30 ม.ค. 2558 สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเรื่อง “กระบวนการยุติธรรมด้านแรงงานในระบบศาลคู่” ในครั้งนั้น ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธาน คปก. กล่าวถึงปัญหาการพิจารณาคดีแรงงานไว้ในทำนองเดียวกัน อาทิ ผู้พิพากษาที่เข้าไปอยู่ในศาลแรงงานจะเป็นผู้ที่มีความรู้ในคดีแพ่ง จึงนำวิธีพิจารณาคดีแพ่งไปใช้ในศาลแรงงาน ทั้งที่คดีแรงงานมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ การให้ความรู้ด้านกฎหมายและคดีแรงงานในประเทศไทยยังมีค่อนข้างน้อย
รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 258 กล่าวถึงการดำเนินการปฏิรูประเทศในหลายด้าน รวมถึง “ด้านกระบวนการยุติธรรม” ที่มีเป้าหมายประการหนึ่งคือ เพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า และมีกลไกช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ รวมตลอดทั้งการสร้างกลไกเพื่อให้มีการบังคับการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม ทั้งนี้ได้มีการออก ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ไปเมื่อ 15 ส.ค. 2560 ที่ผ่านมา
ก็ขอฝากข้อสังเกตจากผู้ใช้แรงงานเข้าไปประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำลดลงไปได้อีกประการหนึ่ง!!!
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...