ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
อ้างอิงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8920/2560
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 จำเลยที่ 1 รับโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งนักจิตวิทยาการปรึกษา ค่าจ้างเดือนละ 35,500 บาท จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจจัดหาบุคลากรทางการแพทย์ให้แก่บริษัทต่างๆ จำเลยที่ 2 ผู้ประกอบกิจการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ จำเลยที่ 1 ส่งโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงเป็นนายจ้างของโจทก์ด้วย
ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยทั้งสอง จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 5,840,000 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เลิกจ้างโจทก์เนื่องจากไม่ผ่านทดลองงาน โจทก์ปฏิเสธการรับมอบหมายงาน ไม่มีจรรยาบรรณด้วยการเปิดเผยความลับของผู้ใช้บริการ จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2
ศาลแรงงานภาค 2 เห็นว่า
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างโจทก์มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 – 30 มกราคม 2555 จำเลยที่ 2 มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 และเป็นนายจ้างตามมาตรา 5 และมาตรา 11/1 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 852,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลฎีกา เห็นว่า การที่โจทก์เข้าไปทำงานประจำห้องพยาบาลในสถานประกอบกิจการของจำเลยที่ 2 เพื่อให้บริการแก่พนักงานของจำเลยที่ 2 ก็เนื่องจากสัญญาว่าจ้างบริการกับจำเลยที่ 1 ให้จัดบริการดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งสัญญาจ้างโจทก์เข้าทำงานก็ปรากฏชัดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง เพียงแต่ส่งโจทก์เข้าไปทำงาน ณ สถานประกอบกิจการ ของจำเลยที่ 2
แม้จะกำหนดให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ ประกาศ รวมทั้งคำสั่งของจำเลยที่ 2 ผู้ว่าจ้าง ก็เป็นไปเพื่อให้การบริการของจำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 2 เป็นไปโดยสอดคล้องกับนโยบายของจำเลยที่ 2
และในการเลิกจ้างคดีนี้ก็กระทำโดยจำเลยที่ 1 กรณีเป็นข้อบ่งชี้ว่าโจทก์ยังคงทำงานภายใต้อำนาจบังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งของจำเลยที่ 2 มาเป็นกรอบเพื่อกำหนดแนวทางในการทำงานของโจทก์เท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้ที่จ่ายค่าจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานแก่โจทก์ก็คือจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจบังคับบัญชา และไม่ได้จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นนายจ้างกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5
และเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดส่งโจทก์ไปทำงาน ณ สถานประกอบกิจการของจำเลยที่ 2 ตามใบจัดจ้าง โดยจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ จึงมิใช่กรณีที่ผู้ประกอบกิจการมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้เป็นผู้จัดหาคนมาทางาน อันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางานโดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของกระบวนการผลิตหรือ ธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการ
จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของโจทก์ ตามมาตรา 11/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไปด้วยได้
พิพากษา แก้เป็นว่า ให้ ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 2
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...