ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
นายจ้างจะโอนลูกจ้างให้ทำงานกับบริษัทในเครือตามนโยบายเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของนายจ้างเพียงฝ่ายเดียว ลูกจ้างเห็นว่าสวัสดิการบริษัทใหม่ลดลงกว่าเดิม จึงปฏิเสธ นายจ้างจึงเลิกจ้าง แทนที่จะมีมาตรการหรือวิธีการที่เป็นทางเลือกที่ดีกว่าหรือขวนขวายช่วยเหลือให้ลูกจ้างไม่ต้องเดือดร้อนจากการยุบหน่วยงาน การเลิกจ้างจึงยังไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เมื่อลูกจ้างอายุ 59 ปี และทำงานมานานถึง 28 ปี ได้รับความเดือดร้อน จึงกำหนดค่าเสียหายให้ 1,733,508 บาท (จำนวน 28 เดือน)
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๓๑ จำเลยรับโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานบัญชีและการเงิน ค่าจ้างเดือนละ ๖๑,๙๑๑ บาท
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุว่าไม่มีตำแหน่งงานให้ทำ เนื่องจากโจทก์ไม่ยอมโอนย้ายไปทำงานที่บริษัท A จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของจำเลยตามนโยบายจำเลย
เหตุที่ไม่ยอมโอนย้ายเนื่องจากสวัสดิการลดลงจากเดิม การเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่ำเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑,๗๓๓,๕๐๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยมีนโยบายยุบรวมหน่วยงานในแผนกการเงินและสารสนเทศ เป็นหน่วยงานกลางให้บริการแก่บริษัทในเครือ เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน
พนักงานในแผนก ๓๐ คน สามารถโอนย้ายไปและยังคงปฏิบัติงานในสถานที่เดิม
มีพนักงาน ๒๒ คน โอนย้ายไปทำงานบริษัทในเครือ
มีจำนวน ๕ คน ลาออก
เหลือพนักงาน ๓ คน รวมโจทก์ปฏิเสธการโอนย้าย ไม่มีตำแหน่งอื่นในคุณสมบัติโจทก์จึงจำเป็นต้องเลิกจ้าง
ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ๑,๗๓๓,๕๐๘ บาท
(จำนวน ๒๘ เดือน) พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระ
เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า การพิจารณาว่าการเลิกจ้างของจำเลยจะเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ หรือไม่
นั้น จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุแห่งการเลิกจ้างและเหตุดังกล่าวเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ
คดีนี้ แม้จำเลยจะอ้างว่าสำเหตุแห่งการเลิกจ้างมาจากการยุบหน่วยงานการเงินและบัญชีของจำเลยที่โจทก์ทำงานอยู่ ตามนโยบายของจำเลยเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของจำเลย
โดยไม่ปรากฏว่าก่อนการเลิกจ้างโจทก์ จำเลยมีวิธีการหรือขั้นตอนในการลดภาระค่าใช้จ่ายหรือวิธีการ อื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของจำเลย
ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยอยู่ในภาวะที่มีความจำเป็นต้องปรับโครงการสร้างหรือยุบเลิกหน่วยงาน อันเนื่องมาจากสภาพทางการเงินที่มีปัญหาของจำเลย ไม่อาจคงสถานภาพทางการเงินไว้ได้
การยุบหน่วยงานดังกล่าวแม้จะเป็นอำนาจในการบริหารจัดการหน่วยงานของจำเลย แต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวเป็นหลัก
เมื่อการยุบหน่วยงานบัญชีและการเงินมีผลกระทบถึงการทำงานของโจทก์
ลำพังการที่จำเลยเสนองานที่ใหม่ให้ แต่ก็ทำให้โจทก์ได้รับสวัสดิการต่างๆ ลดลง ทำให้โจทก์ซึ่งอายุ ๕๙ ปี และทำงานกับจำเลยมาถึง ๒๘ ปี ต้องได้รับความเดือดร้อน แทนที่จำเลยจะมีมาตรการหรือวิธีการที่เป็นทางเลือกที่ดีกว่า หรือขวนขวายช่วยเหลือให้โจทก์ไม่ต้องเดือดร้อนจากการยุบหน่วยงาน จำเลยกลับเลือกที่จะเลิกจ้างโจทก์ การเลิกจ้างจึงยังไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
พิพากษายืน
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...