ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ 6100/6101/2556
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2540 และวันที่ 2 กรกฎาคม 2544 จำเลยรับโจทก์ ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 ตามลำดับเข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายโจทก์ที่ 1 เดือนละ5,980 บาท โจทก์ที่ 2 เดือนละ 9,027 บาท ค่าเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ 8,000 บาท ต่อคน และค่ารักษารถเดือนละ 3,000 บาทต่อคน กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 และวันที่ 27 มิถุนายน 2549 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 ตามลำดับ โดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำความผิด จำเลย ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 101,880 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 160,216 บาท สินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 33 วัน เป็นเงิน 18,678 บาท โจทก์ ที่ 2 จำนวน 27 วัน เป็นเงิน 24,699 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเท่ากับอายุงานปีละ 1 เดือน โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 84,900 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 180,243 บาท และจำเลยต้องคืนเงินประกันในการทำงาน 10,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1
จำเลยให้การว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายโจทก์ที่ 1 เดือนละ 5,959 บาท โจทก์ที่ 2 เดือนละ 8,768 บาท เงินค่าเที่ยวคำนวณตามระยะทางเมื่อขับรถไปส่งสินค้าแต่ละครั้งตามประกาศอัตราค่าเที่ยว มิได้เป็นเงินที่จ่ายให้ประจำ เฉลี่ยเดือนละไม่เกิน 5,000 บาท
ส่วนค่ารักษารถเป็นเงินรางวัลจูงใจพนักงานขับรถปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย มิได้เป็นเงินที่จ่ายให้แน่นอน ขึ้นยู่กับการประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งระเบียบข้อบังคับของจำเลย
วันที่ 26 เมษายน 2549 โจทก์ที่ 2 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจปราบปรามการทุจริตน้ำมันทำการจับกุมบริเวณ เพิงรับซื้อขายน้ำมันไม่มีเลขที่ ริมถนนบางปะหัน - บางปะอิน และเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน2549 โจทก์ที่ 1 ร่วมกับนายจะเด็ด ทับทิมทอง พนักงานฝ่ายซ่อมบำรุง แผนกปฏิบัติการขนส่งของจำเลยปลอมแปลงเอกสารการเบิกจ่ายน้ำมัน ลงลายมือชื่อพนักงานคนอื่นและเอาน้ำมันโซลาของจำเลยไป
การกระทำของโจทก์ทั้งสองเป็นการทุจริตต่อหน้าที่กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นความผิดร้ายแรงตามระเบียบข้อบังคับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 8,370 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ที่ 1 และยกฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ที่ 2 และจำเลยอุทธรณ์ศาลฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ได้ค่าจ้าง 5,959 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับค่าจ้าง 8,768 บาท และโจทก์ทั้งสองยังได้เงินค่าเที่ยวคิดตามจำนวนเที่ยว ระยะทางและประเภทรถตามอัตราที่จำเลยกำหนดได้เงินรางวัลในการขับรถปลอดภัยและรอบคอบ มีความขยัน การดูแลรักษารถตามอัตราค่าเที่ยวและคู่มือพนักงานขับรถเงินค่าเที่ยวมีจุดมุ่งหมายจ่าย เพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานจึงเป็นค่าจ้าง ส่วนเงินรางวัลเป็นเงินที่จ่ายให้เป็นกำลังใจในการทำงานตอบแทนความดี ความขยัน ไม่ใช่ตอบแทนการทำงานโดยตรงจึงไม่ใช่ค่าจ้าง
จำเลยไม่มีประจักษ์พยาน หรือพยานแวดล้อมรู้เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ยักยอกน้ำมัน ไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 มีส่วนรู้เห็นในการจัดทำและลงลายมือชื่อในเอกสารการเติมน้ำมัน จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อจำเลย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
จำเลยมีพันตำรวจตรีปรีชา เบิกความเป็นพยานยืนยันว่าซุ่มดูเห็นโจทก์ที่ 2 เปิดฝาถังน้ำมันรถให้นายสมบัติ ใช้สายยางดูดน้ำมันใส่ถัง พยานเข้าจับกุมและยึดได้ของกลาง จึงเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
เงินค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า การจ่ายเงินค่าเที่ยวเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับที่จ่ายให้พนักงานขับรถ เมื่อขับรถไปส่งน้ำมันให้ลูกค้า โดยมีอัตราการจ่ายที่สถานที่ขับรถไปย่อม เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง จึงเป็นค่าจ้างค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างที่คิดคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำงานขับรถให้แก่นายจ้างจึงมีจำนวนผันแปรไปตามปริมาณงานที่ทำได้ ไม่อาจกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้เหมือน กับค่าจ้างรายเดือนแบบเหมาจ่ายซึ่งเป็นเรื่องปกติ
การจ้างแรงงานรายเดียวกันอาจกำหนดวิธีคิดคำนวณค่าจ้างเป็นหลายแบบผสมผสานกันได้ มิใช่ว่าหากค่าตอบแทนมีจำนวนไม่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนแล้วจะไม่ใช่ค่าจ้าง
พิพากษายืน
คำพิพากษาฎีกาที่ 3631-3667/2552
คดีทั้งสี่สิบสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 42 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 42 และเรียกจำเลยทุกสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสี่สิบสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ทั้งสี่สิบสองเป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุกสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อส่งสินค้าให้ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัสทั่วประเทศ ได้รับเงินเดือนตามฟ้องของโจทก์แต่ละคน โดยมีลักษณะการทำงานเป็นรอบ รอบละ 14 วัน
กล่าวคือ 7 วันทำการแรกโจทก์ทั้งสี่สิบสองต้องขับรถร่วมกับพนักงานขับรถคู่กะวิ่งงานระยะยาว (ต่างจังหวัด) ผลัดเปลี่ยนกันขับ หากวันทำการที่ 7 โจทก์ทั้งสี่สิบสองเป็นผู้ขับกลับ วันทำการที่ 8 และที่ 9 โจทก์ทั้งสี่สิบสองจะได้หยุดพัก ส่วนคู่กะจะต้องวิ่งงานระยะสั้น (กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ในวันดังกล่าวโดยลำพัง และในวันทำการที่ 10 และที่ 11 โจทก์ทั้งสี่สิบสองต้องวิ่งงานระยะสั้น (กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ส่วนคู่กะจะได้หยุดพักในวันดังกล่าว หลังจากนั้นในวันทำการที่ 12 ถึง 14 โจทก์ทั้งสี่สิบสองกับคู่กะจะต้องวิ่งงานระยะสั้นร่วมกัน แล้วจึงเริ่มต้นรอบงานใหม่
ในแต่ละรอบ 14 วัน โจทก์ทั้งสี่สิบสองจะได้หยุดงาน 2 วัน ส่วนอีก 12 วัน ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง หากไม่ขับรถก็ต้องนอนพักผ่อนในรถหรือรอรับงานในเที่ยวต่อไป คิดเป็นชั่วโมงการทำงานปกติ 8 ชั่วโมง นอกเวลาทำงานปกติ 16 ชั่วโมง จำเลยจ่ายเงินเดือนและเงิน "ค่าเที่ยว" ตามระยะทางใกล้ไกลที่ขับรถไปทำงานยังสถานที่ต่างๆ ให้แก่โจทก์ทั้งสี่สิบสอง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำงานปกติ แต่จำเลยไม่เคยจ่ายเงินดังกล่าว
โจทก์ทั้งสี่สิบสองขอคิดค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำงานปกติเป็นเวลา 2 ปี ย้อนหลังถึงวันฟ้องของโจทก์แต่ละคน โดยหักวันหยุดสัปดาห์ละ 1 วัน ทำงานล่วงเวลาวันละ 16 ชั่วโมง รวมเป็นเวลาทำงานนอกเวลาทำงานปกติ ตามฟ้องของโจทก์แต่ละคน ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำงานปกติตามคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์แต่ละคนพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เดิมพนักงานขับรถของจำเลยทำงาน 12 วัน หยุด 2 วัน ต่อมาเดือนตุลาคม 2548 ได้เปลี่ยนเป็นทำงาน 6 วัน หยุด 1 วัน โดยมีจำนวนวันทำงานและวันหยุดเท่าเดิม จำเลยจัดให้มีพนักงานขับรถประจำ 2 คน ต่อรถบรรทุก 1 คัน และมีพนักงานสำรองไม่ประจำรถหมุนเวียนเป็นช่วงๆ ช่วงละประมาณ 2 เดือน รถบรรทุก 1 คัน จะขับส่งสินค้าระยะสั้นและระยะไกลสลับกันไป โดยระยะสั้นไม่เกิน 400 กิโลเมตร ใช้พนักงานขับรถ 1 คน ต่อเที่ยว หากเป็นระยะไกลเกิน 400 กิโลเมตร ขึ้นไปจะใช้พนักงานขับรถ 2 คน ต่อเที่ยวสลับกันขับ
ทั้งบางครั้งเมื่อกลับมาแล้วพนักงานขับรถอ่อนเพลียไม่สามารถขับเที่ยวต่อไปหรือไม่มาทำงานหรือลางานหรือมีเหตุอื่น จำเลยก็จะจัดพนักงานสำรองขับรถสลับกับพนักงานประจำรถดังกล่าวโจทก์ทั้งสี่สิบสองจึงไม่ได้ทำงานขับรถตลอดเวลา
การทำงานของโจทก์ทั้งสี่สิบสองนั้นเป็นไปตามกฎหมายโดยทำงานตามปกติวันละ 8 ชั่วโมง หยุดพัก 1 ชั่วโมง และมีสิทธิคิดค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติต่อเมื่อทำงานเกินเวลาดังกล่าวการนับชั่วโมงการทำงานต้องนับเวลาการทำงานจริง การรอรับงานเพื่อวิ่งรถในเที่ยวต่อไปไม่ใช่เวลางานที่จะนำมาคิดค่าตอบแทนและจำเลยไม่เคยให้โจทก์ทั้งสี่สิบสองรอรับงาน
การทำงานของโจทก์ทั้งสี่สิบสองเป็นประเภทงานขนส่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 65 (8) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) ข้อ 6 โจทก์ทั้งสี่สิบสองจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา แต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในเวลาทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินเวลาทำงานปกติ
โจทก์ทั้งสี่สิบสองจะทำงานต่อเมื่อขับรถขนส่งสินค้าเป็นเที่ยว ๆ ตามระยะทางใกล้ไกลโดยได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือนประจำและเงินค่าเที่ยวต่อการขับรถแต่ละเที่ยวมากน้อยตามระยะทางใกล้ไกล ซึ่งได้รวมค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวอีก อัตราเงินเดือนตามฟ้องของโจทก์แต่ละคนไม่ถูกต้องและสูงเกินจริงช่วงเวลาที่โจทก์เรียกร้องมานั้นโจทก์บางคนไม่ได้ทำงานเกินเวลาทำงานตามปกติ บางคนถูกให้ออกจากงาน และบางคนถูกพักงานชั่วคราว เงินค่าตอบแทนดังกล่าวไม่ใช่เงินที่จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่โจทก์ทั้งสี่สิบสองมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละ 7.5 ต่อปี เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 6 ที่ 7 ที่ 18 ที่ 20 และที่ 25 ขอถอนฟ้องศาลแรงงานกลางอนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ดังกล่าวจากสารบบความ
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามสิบเจ็ดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสิบเจ็ดว่า เงินค่าเที่ยวเป็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติหรือไม่ เห็นว่า
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ได้นิยามคำว่า "ค่าจ้าง" หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน แต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้
เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับและไม่ได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติแล้วว่างานที่โจทก์ทั้งหมดต้องปฏิบัติคือการขับรถบรรทุกสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จากศูนย์กระจายสินค้า อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของจำเลยทั่วประเทศ โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและค่าเที่ยวตามระยะทางใกล้ไกลที่ต้องขับรถไปทำงานในแต่ละเที่ยว กำหนดอัตราค่าเที่ยวไว้เป็นจำนวนแน่นอนสามารถคำนวณได้ตามระยะทางและจำนวนเที่ยวที่โจทก์แต่ละคนทำได้ตามตารางกำหนดอัตราค่าเที่ยวเอกสารหมาย จ.ล.2 ซึ่งมีผลบังคับนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547
โดยกำหนดระยะทางไว้เป็นกิโลเมตร และจำนวนพนักงานขับรถคูณด้วยค่าเที่ยว เช่น ลำดับที่ 5 สระบุรี 110 กิโลเมตร ค่าเที่ยว 200 บาท คูณด้วย 1 (ขับคนเดียว) ลำดับที่ 14 พระนครศรีอยุธยา 55 กิโลเมตร ค่าเที่ยว 200 บาท คูณด้วย 1 (ขับคนเดียว) ลำดับที่ 25 ชลบุรี 300 กิโลเมตร ค่าเที่ยว 250 บาท คูณ 1 และ 140 บาท คูณ 2 (ขับเดียว 250 บาท ขับ 2 คน คนละ 140 บาท) ลำดับที่ 31 หาดใหญ่ 2,100 กิโลเมตร 1,000 บาท คูณ 2 (ขับ 2 คน คนละ 1,000 บาท)
โดยไม่ปรากฏข้อความใดที่ระบุว่าเป็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.ล.2 ว่า การขับรถไปส่งสินค้าระยะประมาณ 100 กิโลเมตร เช่น จังหวัดสระบุรีหรือพระนครศรีอยุธยา พนักงานขับรถได้รับค่าขับรถต่อเที่ยวคนละ 200 บาท หรืออัตราเฉลี่ยกิโลเมตรละประมาณ 2 บาท และการขับรถไปส่งสินค้าระยะไกลเกิน 1,000 กิโลเมตร เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พนักงานขับรถยังได้ค่าขับรถต่อเที่ยวเพียงคนละ 1,000 บาท หรืออัตราเฉลี่ยกิโลเมตรละประมาณ 1 บาทเศษ
เห็นได้ว่าค่าเที่ยวดังกล่าวกำหนดขึ้นตามระยะทางเป็นสำคัญ โดยไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาในการขับรถ แสดงว่าค่าเที่ยวดังกล่าวไม่ได้จ่ายเพื่อตอบแทนการขับรถในส่วนที่เกินเวลาทำงานปกติ แต่มีลักษณะเป็นการตอบแทนการเดินทางไปปฏิบัติงานในเวลาทำงานปกติ จึงไม่เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้พนักงานขับรถเป็นการตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ ทั้งคดีไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งหมดซึ่งเป็นลูกจ้างในงานขนส่งทางบกกับจำเลยมีข้อตกลงให้จ่ายค่าเที่ยวเป็นการตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ
เงินค่าเที่ยวดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างโดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานจึงเป็นค่าจ้างตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 5 ดังกล่าวแม้โจทก์ทั้งหมดเป็นลูกจ้างในงานขนส่งทางบกจะไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าล่วงเวลาในชั่วโมงที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 65 (8) (กฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุคดีนี้)
ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2541) แต่จำเลยก็ยังคงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ทั้งหมดสำหรับเวลาที่งานเกินเวลาทำงานปกตินั้นด้วย หาใช่ว่าเมื่อลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาแล้วจะถูกตัดสิทธิมิให้ได้รับค่าจ้างธรรมดาไปด้วยไม่
โจทก์ทั้งหมดจึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติตามจำนวนเวลาที่โจทก์ทั้งหมดได้ทำงานเกินจากวันละ 8 ชั่วโมง โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าจ้างเฉลี่ยเงินค่าเที่ยวรวมกับเงินเดือนได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ยเป็นรายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนสำหรับเวลาที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องของโจทก์แต่ละคนเป็นต้นไป แต่จำนวนเงินดังกล่าวไม่ให้เกินคำขอของโจทก์แต่ละคน
อนึ่ง ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์แต่ละคนเพียงพอที่ศาลฎีกาจะพิพากษาถึงจำนวนเงินค่าตอบแทนในการทำงานเกินเวลาทำงานปกติให้โจทก์แต่ละคนได้ จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจทก์แต่ละคนว่ามีสิทธิได้รับค่าจ้างเฉลี่ยชั่วโมงละเท่าใด โจทก์แต่ละคนทำงานเกินเวลาทำงานปกติจำนวนกี่ชั่วโมง และมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนสำหรับการทำงานเกินเวลาทำงานปกติคนละเท่าไรก่อนแล้วพิพากษาคดีเสียใหม่ตามรูปคดี"
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติสำหรับโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 8 ถึงที่ 17 ที่ 19 ที่ 21 ถึงที่ 24 และที่ 26 ถึงที่ 42 ในกรณีที่ศาลแรงงานกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ฟังใหม่จะเป็นผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงก็ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 56 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12621/2558
เรื่อง “ค่าเที่ยว” กำหนดขึ้นจำกระยะทางขับรถจากสถานที่จัดส่งสินค้าไปยังสถานที่ปลายทาง ไม่ได้คำนึงถึงเวลาในการขับรถแต่ละเที่ยวเป็นสำคัญ โดยถือปฏิบัติติดต่อกันมาตั้งแต่เปิดกิจการค่าเที่ยวจึงถือเป็นค่าตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติโดยปริยาย เป็นค่าจ้างตามมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537
คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องเพิกถอนคำสั่งสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 3 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ กรณีที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยชำระเงินสมทบเพิ่มเติมเข้ากองทุนเงินทดแทนจำนวน 54,007 บาท และ 80,180 บาท
เนื่องจากโจทก์เห็นว่า “ค่าเที่ยว” เป็นเงินที่จ่ายตอบแทนเกินเวลาทำงานปกติแบบเหมาจ่ายไม่เป็นค่าจ้าง จำเลยทั้งสองให้การว่า “ค่าเที่ยว” เป็นค่าจ้างเพราะตอบแทนการทำงานของลูกจ้างที่มีหน้าที่ขับรถส่งสินค้า ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า โจทก์ประกอบกิจการขนส่งทางบกค่าเที่ยวจ่ายให้ตอบแทนการทำงานโดยมากน้อยขึ้นอยู่กับระยะทางขับรถใกล้ไกลและประเภทของรถยนต์บรรทุก โจทก์ใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวมาตั้งแต่เปิดกิจการถึงปัจจุบัน หลักเกณฑ์เวลาทำงานของพนักงานขับรถขนส่งสินค้ากำหนดกรอบไว้อย่างกว้างๆ เวลาพักและเวลาทำงานให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสภาพการบริหารและการให้บริการของโจทก์ เวลาทำงานปกติใช้เฉพาะพนักงานที่มีการทำงานปกติยกเว้นพนักงานที่ทำงานขนส่งสินค้าทางบก
ค่าเที่ยวกำหนดขึ้นจากระยะทางขับรถจากสถานที่จัดส่งสินค้าอำเภอวังน้อย ไปยังสถานที่ปลายทาง ไม่ได้คำนึงถึงเวลาในการขับรถแต่ละเที่ยวเป็นสำคัญ เพราะพนักงานขับรถระยะทางใกล้เช่น 90 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมง โจทก์ก็คงจ่ายค่าเที่ยวให้ 200 บาท พนักงานขับรถขนส่งสินค้าจะไม่มีเวลาเข้าและออกจากงานที่แน่นอน ถือเอาเวลาเริ่มต้นปฏิบัติหน้าที่ขับรถและสิ้นสุด
เมื่อส่งของเสร็จตามเป้าหมายและนั่งรถกลับถึงที่ทำการ ซึ่งบางครั้งใช้เวลามากกว่า 8 หรือ 9 ชั่วโมงพนักงานขับรถจะต้องเข้าปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา 24 ชั่งโมง ตามที่โจทก์มอบหมายและถือปฏิบัติติดต่อกันมาตั้งแต่เปิดกิจการหลักเกณฑ์ค่าเที่ยวจึงถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการจ้างงานและค่าตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติโดยปริยาย ค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537
พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่าโจทก์มีข้อตกลงกับลูกจ้างพนักงานขับรถขนส่งสินค้ารายอื่นว่าการจ่ายค่าเที่ยวเหมาจ่ายรวมค่าทำงานเกินเวลาทำงานปกติอยู่ในนั้นแล้ว ค่าเที่ยวจึงไม่ใช่ค่าจ้าง
ศาลฎีกาเห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาเพื่อน าไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าค่าเที่ยวไม่เป็นค่าจ้าง เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12704/2558
เรื่อง “ค่าเที่ยว” เหมาจ่ายวันละ 500 บาท นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานตำแหน่งพนักงานขับรถทอย ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามจำนวนวันที่ทำในเวลาทำงานตามปกติอันมีลักษณะชี้ชัดว่ามุ่งหมายจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน มิใช่จงใจเพื่อจูงใจ “ค่าเที่ยว” จึงเป็น “ค่าจ้าง”
คดีนี้จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถทอยประจำสาขาขอนแก่น ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,200 บาท ค่าเที่ยวเหมาจ่ายวันละ 500 บาท โจทก์มีหน้าที่ขับรถบรรทุกก๊าซตามตารางกำหนดโดยในสัปดาห์หนึ่งกำหนดให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ 12 ชั่วโมง จำนวน 2 วัน บางครั้งเป็นกะเช้า บางครั้งเป็นกะดึกสลับกัน เมื่อจำเลยจ่าย “ค่าเที่ยว” ให้โจทก์เมื่อโจทก์ทำตามหน้าที่ของตนซึ่งจำเลยกำหนดอัตราไว้แน่นอนว่าวันหนึ่งจะจ่ายให้เท่าใด สามารถคำนวณได้ตามจำนวนวันที่ทำในเวลาทำงานตามปกติของวันทำงานอันมีลักษณะชี้ชัดว่าจำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน มิใช่จงใจจ่ายไปเพื่อจูงใจให้โจทก์ขยันทำงาน ทั้งจำเลยยังกำหนดเงินดังกล่าวไว้ในโครงสร้างค่าจ้างแรงงานตามสัญญาจ้างแรงงานฉะนั้นเงินค่าเที่ยวจึงเป็น “ค่าจ้าง” ที่ศาลแรงงานภาค 4 นำเงินค่าเที่ยวมารวมกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลาย่อมเป็นการถูกต้องแล้ว พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14262/2558
เรื่อง การคำนวณค่าชดเชยพนักงานขับรถที่ได้รับค่าเที่ยวซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงาน ต้องนำเงินค่าเที่ยวที่ได้รับจริงย้อนหลังมาคำนวณ ไม่ใช่ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เมื่อลูกจ้างไม่ได้รับค่าเที่ยวในช่วงดังกล่าว จึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณ ดังนั้น จึงนำเฉพาะค่าจ้างรายเดือนมาคำนวณเท่านั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งพนักงานขับรถเซมิเทรลเลอร์ ได้รับค่าจ้าง เดือนละ 8,432 บาท และค่าเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ 16,800 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 15 และ วันที่ 30 วันที่ 1 ตุลาคม 2550 จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด
ศาลแรงงานภาค 2 พิพากษา ให้จำเลยที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 12,626 บาท ค่าชดเชย 201,864 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ประเด็นค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 จะจ่าย ค่าเที่ยวให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์ขนส่งน้ำมันตามหน้าที่ของตน โดยเงินค่าเที่ยว ที่โจทก์จะได้รับนั้นสามารถคำนวณได้แน่นอนขึ้นอยู่กับระยะทางของการขับรถยนต์ในแต่ละเที่ยวตามที่ จำเลยที่ 1 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ลักษณะการจ่ายค่าเที่ยวของจำเลยที่ 1 แก่โจทก์ดังกล่าวเป็นการจ่าย เพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างโดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เงินค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้าง
อุทธรณ์ประเด็นการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยโดยคำนวณเงินเดือน รวมกับค่าเที่ยวโดยเฉลี่ยชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า
เมื่อเงินค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างตามผลงานแล้ว การที่โจทก์ได้รับ ค่าเที่ยวจนถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2550 แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันเลิกจ้างโจทก์ไม่ได้รับค่าเที่ยวอีก ในวันเลิกจ้างจึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณให้จำเลยที่ 1 จ่ายสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ได้ คงคำนวณจากค่าจ้างซึ่งเป็นเงินเดือนเท่านั้น คิดถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง คราวถัดไปในวันที่ 15 ตุลาคม 2550 เป็นเงิน 4,216.50 บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสี่
ส่วนค่าชดเชยนั้น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 (4) นอกจาก กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างโดยคำนวณจากค่าจ้างตามระยะเวลาแล้วยังได้กำหนดให้จ่าย ค่าชดเชยสำหรับค่าจ้างตามผลงานไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน 240 วันสุดท้าย
ดังนั้นจำเลยที่ 1 ต้องนำเงินค่าเที่ยวที่โจทก์ได้รับจริงย้อนหลังขึ้นไป 240 วัน นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 อันเป็นวันเลิกจ้าง คือระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 30 กันยายน 2550 มาคำนวณจ่ายค่าชดเชยสำหรับค่าจ้างตามผลงาน ให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงปรากฏเพียงว่าโจทก์ได้รับค่าเที่ยวจำนวนน้อยที่สุดโดยเฉลี่ยเดือนละ 16,800 บาท โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าว และโจทก์ได้รับค่าเที่ยวถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2550 เท่านั้น เมื่อคำนวณแล้วโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างตามผลงาน 77,280 บาท และค่าจ้างที่คำนวณตามระยะเวลาเป็นเงินเดือนๆ ละ 8,433 บาท จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยดังกล่าวอีก 67,464 บาท รวมเป็นค่าชดเชย 144,744 บาท ที่ศาลแรงงานภาค 2 วินิจฉัยมาจึงไม่ถูกต้อง
พิพากษา แก้เป็นให้จำเลยที่ 1 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 4,216.50 บาท และค่าชดเชย 144,744 บาท
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...