ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
สรุปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 2480/2565 อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566
ข้อเท็จจริง
จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการจองห้องพักโรงแรมระบบออนไลน์และบริหารจัดการโรงงาน สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สำนักสาขาตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี
โจทก์เป็นผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กับพวก รวมทั้งสิ้น 10 คน เข้าทำงานที่สำนักงานสาขา ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม 2562-กุมภาพันธ์ 2563 อัตราเงินเดือนแต่ละคนอยู่ระหว่างจำนวน 23,000-65,000 บาทต่อเดือน
วันที่ 27 เมษายน 2563 จำเลยแจ้งด้วยวาจา ต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ว่า จำเลยจะหยุดกิจการบางส่วนเป็นการชั่วคราวเนื่องจากเหตุสุดวิสัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
ในวันเดียวกัน จำเลยแจ้งให้โจทก์ทั้ง 10 คน หยุดงานชั่วคราวและประกาศหยุดกิจการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 31 สิงหาคม 2563 โดยอ้างเหตุตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75 ว่า จำเลยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และจะไม่มีการจ่ายค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
วันที่ 29 พฤษภาคม และ 24 มิถุนายน 2563 โจทก์ทั้ง 10 ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีว่า ถูกจำเลยเลิกจ้าง และค้างจ่ายค่าจ้างเดือนพฤษภาคม 2563 ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี 2563 ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ต่อมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 10 คน โดยมีการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้
พนักงานตรวจแรงงานสอบข้อเท็จจริง พบว่า
ระหว่างเดือนเมษายน -สิงหาคม 2563 รายได้ของจำเลยลดลงโดยตลอด จำเลยจึงต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ และต่อมาช่วงเดือนสิงหาคม จำเลยได้ทำสัญญาร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับโรงแรมหลายแห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในหลายจังหวัดและเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เห็นว่าที่นายจ้างใช้สิทธิหยุดกิจการชั่วคราวด้วยเหตุสุดวิสัยถือว่าชอบแล้ว โจทก์ทั้งสิบจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี
ต่อมาเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 10 คน แต่โจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่มีเหตุสมควร จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ครบถ้วน จึงต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่ขาดอยู่
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 โจทก์ทั้ง 10 ได้นำคดีสู่ศาลแรงงานภาค 2
โดยฟ้องว่า จำเลยไม่ได้แจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ การประกาศหยุดกิจการชั่วคราวจึงไม่สามารถกระทำได้ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้ง 10 คน ตลอดระยะเวลาที่สั่งให้โจทก์หยุดงานชั่วคราว
อีกทั้งจำเลยยังคงมีลูกค้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องจนมีการขยายกิจการ และจำเลยมีการว่าจ้างพนักงานอิสระเข้ามาทำงานในรูปแบบสัญญาจ้างทำของ ทำให้ต้องการบีบให้โจทก์ทั้ง 10 คน พ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลย โดยที่โจทก์ไม่ได้กระทำความผิด
เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าขาดไปอีกคนละ 2 วัน
จึงขอให้จ่ายค่าจ้าง ค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ทั้ง 10 พร้อมดอกเบี้ย
ศาลแรงงานภาค 2 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565
ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพิ่มเติม และจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ทั้ง 10 คน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินทั้งสองจำนวน นับจากวันฟ้องเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2563 จนถึง 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก้โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้ง 10 คน และจำเลยอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565
คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษโดยมติที่ประชุมใหญ่ ซึ่งศาลแรงงานภาค 2 ได้อ่านคำพิพากษาดังกล่าว เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 มีคำวินิจฉัย ดังนี้
ประการที่ 1 : การสั่งหยุดกิจการชั่วคราว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ประการที่ 2 : โจทก์ทั้ง 10 มีสิทธิได้รับเงินจากจำเลยในระหว่างหยุดกิจการชั่วคราวหรือไม่
ประการที่ 3 : จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในเดือนสิงหาคม 2563 เพิ่มเติมหรือไม่
ประการที่ 4 : การเลิกจ้างโจทก์ทั้ง 10 เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่
โดยสรุป พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์ทั้ง 10 คน กรณีหยุดกิจการชั่วคราวพร้อมดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2563 และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากการเลิกจ้างตามจำนวนแต่ละคน และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง 3 พฤศจิกายน 2563 แต่ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฯ ฉบับเต็มได้ที่นี่ https://bit.ly/42hiMXX
คดีนี้รับผิดชอบโดยฝ่ายกฎหมาย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ที่มีทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ร่วมกับทนายคนอื่นๆ และเสมียนทนายที่เกี่ยวข้อง
สรุปสาระสำคัญคำพิพากษาโดย บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ เมื่อ 17 มีนาคม 2566
click อ่านได้ที่นี่...
อ่านข่าวแรงงาน CLICK ที่นี่...
อ่านข่าว click ที่นี่...
อ่านข่าวมติชน click ที่นี่...
อ่านรายชื่อได้ที่นี่...
ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67 &nb...
CLICK ที่นี่...
ค้นหากดที่นี่...
CLICK ที่นี่...