ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน

update 13 พย. 68 : วิเคราะห์พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568

วิเคราะห์พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
 

สาระสำคัญ

 

  • เนื้อหาหลักของการแก้ไขในครั้งนี้มุ่งเน้นที่การเพิ่มสิทธิในการลาเพื่อคลอดบุตรและการลาเพื่อดูแลบุตรหลังคลอด ทั้งสำหรับลูกจ้างหญิงที่ตั้งครรภ์และคู่สมรสของลูกจ้าง

 

  • ขยายความคุ้มครองไปยังกลุ่มแรงงานจ้างเหมาบริการในหน่วยงานของรัฐซึ่งเดิมไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานอย่างเต็มที่ หมายความว่า หน่วยงานภาครัฐต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน

 

  • โดยฝ่าย HR ภาครัฐจะต้องจัดให้ลูกจ้างจ้างเหมาบริการเหล่านั้นได้รับสิทธิวันลา วันหยุด ค่าจ้าง และสวัสดิการต่าง ๆ ตามมาตรฐานกฎหมายแรงงานใหม่

 

  • เช่น สิทธิลาคลอด 120 วันของพนักงานหญิงสัญญาจ้าง หรือสิทธิวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันลาป่วย เป็นต้น เทียบเท่ากับที่แรงงานเอกชนได้รับ

 

  • ภาครัฐเองก็อาจต้องออกกฎระเบียบหรือแบบสัญญาจ้างรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วทั้งราชการ

 

  • แม้สถานประกอบการบางแห่งหรือหน่วยงานภาครัฐ อาจยังปรับปรุงระเบียบภายในไม่ทันวันที่กฎหมายมีผลใช้ นายจ้างก็มีหน้าที่ต้องให้สิทธิตามกฎหมายแก่ลูกจ้างที่เข้าเกณฑ์ตั้งแต่ 7 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไปอยู่ดี เช่น หากมีพนักงานคลอดบุตรหรือขอใช้สิทธิลาในวันที่ 8 ธ.ค. 2568 นายจ้างก็ต้องอนุญาตและให้สิทธิ 120 วันตามกฎหมายใหม่ ไม่ใช่ตามกฎเก่าที่ 98 วัน

 

ประเด็นที่ 1 สิทธิการลาคลอด

 

  • กฎหมายใหม่แก้ไขมาตรา 41 ของ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน ให้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาคลอดต่อการตั้งครรภ์หนึ่ง ได้ไม่เกิน 120 วัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ 98 วัน ตามกฎหมายฉบับก่อน

 

  • โดยให้นับรวมวันหยุดที่มีระหว่างวันลาด้วยตามหลักเกณฑ์เดิม หมายถึง 120 วันเป็นการนับตามปฏิทินต่อเนื่อง

 

  • นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างหญิงในช่วงลาคลอดเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 60 วัน (เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กฎหมายเก่ากำหนดจ่ายค่าจ้าง ไม่เกิน 45 วัน เท่านั้น)

 

  • ส่วนวันที่เหลือจากนั้น ลูกจ้างไปขอรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรจากกองทุนประกันสังคม ปัจจุบันประกันสังคมให้สิทธิค่าชดเชยการลาคลอดร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่ส่งเงินสมทบ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วันต่อการคลอดหนึ่งครั้ง เช่น ใช้ฐาน 15,000 บาทส่งเงินสมทบสูงสุด ก็จะได้เพียง 7,500 บาทต่อเดือนเท่านั้น ไม่ใช่ 50 % ของค่าจ้างจริงๆ

 

ประเด็นที่ 2 : ลาพักฟื้นสำหรับลูกจ้างหญิงมีครรภ์

 

  • กฎหมายใหม่ได้เพิ่มเติม วรรคสี่ของมาตรา 41 ให้สิทธิแก่ลูกจ้างหญิงที่ใช้สิทธิลาคลอดครบตามสิทธิแล้ว สามารถลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้อีกไม่เกิน 15 วัน ในกรณีที่บุตรมีอาการเจ็บป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน มีความผิดปกติ หรือมีภาวะความพิการหลังคลอด โดยจะต้องมีใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันประกอบการลา

 

  • สิทธินี้ เรียกว่า “ลาพักฟื้น/ลาเลี้ยงดูบุตร” เพิ่มเติมต่างหากจากการลาคลอดตามปกติ ซึ่งไม่เคยมีในกฎหมายฉบับเดิม

 

  • ก่อนหน้านี้หากแม่ต้องหยุดงานเพิ่มเติมเพื่อดูแลบุตรที่เจ็บป่วย มักต้องใช้โควตาการลาป่วยประจำปีที่กฎหมายกำหนดไว้ 30 วัน

 

  • สำหรับค่าจ้างระหว่างการลาพักฟื้นนี้ นายจ้างต้องจ่ายให้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ลา 15 วันดังกล่าว

 

  • สิทธิลาพักฟื้น 15 วันและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าจ้างร้อยละ 50 นี้เป็นสิทธิใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ไม่เคยมีในกฎหมายเก่า

 

ประเด็นที่ 3 : การลาเพื่อดูแลบุตรหลังคลอดของบิดาหรือคู่สมรสของผู้ให้กำเนิดบุตร

 

  • มาตรา 41/1 ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสที่คลอดบุตรได้ไม่เกิน 15 วัน ต่อการคลอดหนึ่งครั้ง

 

  • สิทธินี้สามารถใช้ได้ ก่อนหรือหลังวันที่คู่สมรสคลอดบุตรก็ได้ แต่รวมแล้วต้องอยู่ภายในระยะเวลา 90 วันนับจากวันที่บุตรเกิด

 

  • ฝ่ายบิดาสามารถแบ่งช่วงลาได้ตามความเหมาะสม ตั้งแต่ช่วงใกล้คลอด เพื่อเตรียมการหรือเฝ้าดูแลในช่วงคลอด ไปจนถึงช่วงหลังคลอด เพื่อช่วยเลี้ยงดูทารกและดูแลมารดาหลังคลอด

 

  • จำนวนวันที่ลาได้ทั้งหมดต้องไม่เกิน 15 วันทำงาน

 

  • ต้องใช้สิทธิให้เสร็จสิ้นภายในสามเดือนแรกหลังคลอด

 

  • นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างที่ลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสในอัตรา เท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 15 วัน พูดง่ายๆ คือ ได้รับค่าจ้างเต็ม 100% ของค่าจ้างในช่วงวันลานั้น

 

ประเด็นที่ 4 : แนวทางของ HR ต่อการจัดทำแนวปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่

 

  • HR ต้องดำเนินการแก้ไขเอกสารที่เกี่ยวข้อง คู่มือพนักงาน และนโยบายการลาของบริษัทให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ เช่น ระบุสิทธิลาคลอด 120 วัน สิทธิลาพักฟื้น 15 วันกรณีบุตรป่วย และสิทธิลาช่วยคู่สมรส 15 วัน ไว้อย่างชัดเจน

 

  • การกำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิ เช่น การแจ้งล่วงหน้า การแสดงใบรับรองแพทย์กรณีลาพักฟื้นบุตรป่วยเพื่อให้พนักงานทุกคนรับรู้และเข้าใจสิทธิของตน

 

  • การกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรจะช่วยลดความสับสนและป้องกันความผิดพลาดในทางปฏิบัติ

 

  • สิทธิใหม่นี้มีการจ่ายค่าจ้างที่แตกต่างกัน เช่น ลาคลอดและลาช่วยคู่สมรสจ่าย 100 % แต่ลาพักฟื้นบุตรป่วยจ่าย 50 % ดังนั้นบริษัทต้องปรับปรุงระบบบริหารงานบุคคลและระบบเงินเดือนให้สามารถรองรับการคำนวณค่าจ้างตามสิทธิใหม่ได้อย่างถูกต้องอัตโนมัติ

 

  • โดยตั้งค่าประเภทการลาใหม่ในโปรแกรมบัญชีเงินเดือน เพื่อคำนวณการจ่ายเงิน 60 วันแรกของลาคลอดเป็นเงินเดือนเต็ม และวันที่เหลือไม่มีการจ่ายจากนายจ้าง หรือสำหรับลาพักฟื้น 15 วันให้ระบบจ่ายที่อัตราครึ่งหนึ่งของเงินเดือน ตลอดจนการจ่ายค่าลาช่วยภรรยา 15 วันที่อัตราเต็ม เป็นต้น (ระบบแบบนี้ AI ทำได้หมด ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย)

 

  • การมีระบบที่รองรับจะช่วยป้องกันความผิดพลาดในการคำนวณสิทธิและลดภาระงานเอกสารของ HR

 

  • HR ควรออกแนวปฏิบัติที่ชัดเจนว่าพนักงานที่จะใช้สิทธิลาคลอด หรือลาพักฟื้น/ลาเลี้ยงดูบุตร ต้องแจ้งล่วงหน้าเป็นหนังสืออย่างไร และต้องยื่นเอกสารหลักฐานอะไรบ้าง

 

  • เช่น กรณีลาคลอด ควรแจ้งกำหนดคลอดหรือวันที่คาดว่าจะหยุดลาล่วงหน้า และอาจขอสำเนาใบรับรองแพทย์ที่ระบุวันกำหนดคลอด

 

  • กรณีลาพักฟื้นดูแลบุตรป่วย ต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันภาวะของทารกแนบมาด้วยทุกครั้งตามที่กฎหมายกำหนด

 

  • กรณีลาช่วยคู่สมรสคลอดบุตร ควรแจ้งล่วงหน้าพร้อมทั้งหลังคลอดควรมีหลักฐานเช่นสูติบัตรหรือใบรับรองแพทย์ของภรรยาเพื่อยืนยันการคลอดและระบุวันที่บุตรเกิด เป็นต้น

 

  • การกำหนดขั้นตอนเหล่านี้ให้ชัดจะช่วยให้การใช้สิทธิเป็นไปอย่างเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

 

ประเด็นที่ 5 : แนวทางของ HR ต่อการวางแผนบริหารกำลังคนชดเชยช่วงที่พนักงานลา

 

  • เมื่อพนักงานสามารถลาคลอดได้นานขึ้น สูงสุด 4 เดือน และมีสิทธิพ่อลาเพิ่มได้อีก ทำให้การขาดงานของพนักงานเพราะภาระครอบครัวจะยาวนานและบ่อยขึ้นกว่าเดิม

 

  • บริษัทควรวางแผนอัตรากำลังคนล่วงหน้า เมื่อทราบว่าพนักงานตั้งครรภ์ ควรมีการวางตัวพนักงานชั่วคราวหรือกระจายงานให้ผู้อื่นทำทดแทนระหว่างที่พนักงานลาหยุด

 

  • อาจพิจารณาหมุนเวียนพนักงานภายในมาช่วยงานชั่วคราวในช่วงเวลาดังกล่าว

 

  • สำหรับกรณีพนักงานชายที่ขอลาช่วยภรรยา 15 วัน แม้ระยะเวลาจะสั้นกว่าแต่ก็ควรวางแผนล่วงหน้าเช่นกัน โดยให้หัวหน้าทีมทราบกำหนดการลาล่วงหน้าเพื่อจัดสรรงานไม่ให้เกิดช่องว่าง

 

ประเด็นที่ 6 HR กับการเสนองบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายสวัสดิการที่เพิ่มขึ้น

 

  • สิทธิใหม่หมายถึงนายจ้างมีภาระต้องจ่ายค่าจ้างในช่วงลาของพนักงานเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมจ่ายค่าจ้างลาคลอด 45 วันเป็น 60 วัน และยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการลาช่วยคู่สมรส สูงสุด 15 วันต่อพนักงานชายที่ใช้สิทธิ เพิ่มเข้ามา

 

  • ฝ่ายการเงินและ HR ควรร่วมกัน ประเมินงบประมาณสวัสดิการล่วงหน้า และกันเงินส่วนนี้ไว้ในแผนงบประมาณประจำปีขององค์กรให้เพียงพอ โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีพนักงานหญิงวัยเจริญพันธุ์หรือพนักงานที่มีครอบครัวจำนวนมาก

 

  • การวางแผนการเงินที่รัดกุมจะช่วยลดผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทเมื่อพนักงานใช้สิทธิลานี้

 

ประเด็นที่ 7 : ต้องยึดมั่นหลักการสำคัญ คือ รักษาสถานภาพการจ้างงานและไม่เลือกปฏิบัติ

 

  • ห้ามเลิกจ้าง ลดตำแหน่ง หรือให้โทษทางวินัยเพียงเพราะลูกจ้างใช้สิทธิตามกฎหมาย

 

  • กฎหมายฉบับใหม่นี้ย้ำให้นายจ้างคงสถานะการจ้างงานของลูกจ้างในระหว่างที่ลาเพื่อคลอดบุตรหรือลาเพื่อดูแลครอบครัวตามสิทธิที่กฎหมายให้ไว้

 

  • ดังนั้น HR ควรกำชับผู้บริหารและหัวหน้างานทุกระดับให้ตระหนักถึงเรื่องนี้ และหลีกเลี่ยงการแสดงท่าทีเชิงลบหรือเลือกปฏิบัติต่อพนักงานที่ตั้งครรภ์หรือที่ใช้สิทธิลา เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อขวัญกำลังใจและภาพลักษณ์องค์กรด้วย

 

  • เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมสถานประกอบการที่เป็นมิตรต่อครอบครัว HR อาจจัดอบรมหรือสื่อสารภายในเพื่อสร้างความเข้าใจแก่หัวหน้างานและพนักงานถึงความสำคัญของสิทธิลาคลอดและการลาเลี้ยงดูบุตร ว่าเป็นเรื่องปกติและได้รับการสนับสนุนจากองค์กร ทั้งนี้ สสส.สำนัก 4 มีโปรแกรมเรื่องนี้โดยตรง ดิฉันสามารถประสานงานเข้าไปสนับสนุนได้เลย

 

  • HR สามารถใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์สวัสดิการครอบครัวของบริษัทเพื่อสร้างความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันด้านการสรรหาบุคลากรในตลาดแรงงาน

 

บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์

เลขานุการในคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา

13-11-68



13/Nov/2025

เกาะติดข่าวกฎหมาย

>> อ่านต่อ

บทความพิเศษ

update 13-11-68 : การกระทำแบบใดเรียกว่า การโยกย้ายงานที่ไม่เป็นธรรม update 13-11-68 : การกระทำแบบใดเรียกว่า การโยกย้ายงานที่ไม่เป็นธรรม

อภิญญา สุจริตตานันท์ อดีตอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการแรงงานสัมพั...

update 13-11-68 : ทางออกของไรเดอร์ไทย อยู่ตรงไหนในระบบกฎหมายคุ้มครองแรงงานไทย update 13-11-68 : ทางออกของไรเดอร์ไทย อยู่ตรงไหนในระบบกฎหมายคุ้มครองแรงงานไทย

ในช่วงนี้มีแรงงานไรเดอร์บางกลุ่ม จะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานไรเดอ...

 7 มีนาคม 2567 : ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร 7 มีนาคม 2567 : ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร

ผ่อนรถไม่ไหว อยากจะคืนรถทำอย่างไร   ทนายพรนารายณ์ ทุยยะค่าย 6 มีค. 67   &nb...

>> บทความอื่นๆ

กฎหมาย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2550)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
ประมวลกฎหมายอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
พระราชกำหนด การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงแรงงาน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กรมจัดหางาน
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
สำนักงานประกันสังคม
สำนักแรงงานสัมพันธ์
สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว
สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ
ศาลแรงงานกลาง
คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร
คณะกรรมาธิการการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา