ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน

อ้างอิงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๘๐/๒๕๖๓
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ทำงานอยู่บริษัท A ตำแหน่ง Division Sales Manager ได้รับค่าจ้างและค่าตอบแทนเดือนละ ๑๐๖,๐๐๐ บาท และค่าตอบแทบรายปี ๓๗๐,๐๐๐ บาท และได้ลาออกจากงานมาวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙
เมื่อปลายปี ๒๕๕๙ จำเลยหรือตัวแทนจำเลยชักชวนโจทก์มาทำงานในตำแหน่ง National Sale Manager ตกลงค่าตอบแทนไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๑๓๓,๐๐๐ บาท ไม่รวมค่าตอบแทนรายปี โดยทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ กำหนดเริ่มงานวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐
ต่อมาวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ โจทก์เดินทางไปทำงาน แต่จำเลยกลับบอกเลิกสัญญาจ้าง จึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอบังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๓๙,๓๑๒.๙๕ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒๔๔,๐๕๙.๕๒ บาท และค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด ๘๘๘,๒๕๐.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย
ศาลแรงงานพิจารณาแล้ว เห็นว่า
โจทก์ยังไม่ได้ทำงานให้จำเลย ที่จำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างมิใช่กรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามกฎหมายแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ย่อมไม่อาจนำค่าเสียหายที่มีฐานคำนวณจากการได้รับค่าชดเชยมาเรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าเสียโอกาสในการทำงานและขาดประโยชน์อันพึงได้รับโดยชอบได้
แต่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาจ้างได้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า
สัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้ และลูกจ้างมีหน้าที่ตอบแทนคือต้องทำงานให้แก่นายจ้างเช่นเดียวกัน
เมื่อสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยฉบับลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ กำหนดให้โจทก์เริ่มทำงานวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ แต่เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างงานก่อนที่โจทก์จะทำงานให้แก่จำเลย
กล่าวคือ โจทก์ยังมิได้ทำงานให้แก่จำเลยก็ถูกเลิกสัญญาจ้างงานเสียก่อน โจทก์กับจำเลยจึงยังไม่ใช่ลูกจ้างและนายจ้างต่อกันตามความหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๕
โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเรียกร้องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
พิพากษายืน
สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 3 เจาะลึกงบไดกิ้น กำไร 5.9 พันล้าน กับปฏิบัติการฟอกขาว ตัดสวัสดิการทองคำ ผ่านช่องโหว่กฎหมายแรงงานสัมพันธ์
เที่ยงวันนี้ 8 ธันวาคม 68 ฉันนั่งอ่านข้อมูลการเงินของบริษัท ไดกิ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่...
สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 2 : ข้อเรียกร้องสวน ขอจ่ายเงินแทนทองคำ ความเฮงซวยของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้นายจ้างกดขี่ลูกจ้างแบบให้ใบอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย
เอาเข้าจริง ฉันก็แอบหวังลมๆแล้งๆว่า โลกเดินมาถึงยุค google AI ultra แล้ว คงไม่มีบริษัทแห่งไหนที่จะใช...
สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 1 : เข้าใจคำว่า “ปิดงาน-งดจ้าง ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518” และผลกระทบจากการปิดงาน
สหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี เป็นสหภาพแรงงานที่ฉันมักอิจฉาเสมอ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา โบนัสและสว...
Update 13-11-68 : สูตร CARE ประกันสังคม “CARE ทุกคน” หรือ “ไม่ FAIR สำหรับทุกคน”
ฉันเห็นบรรยากาศเรื่องการถกเถียงเรื่อง สูตร CARE ประกันสังคม ว่า “CARE ทุกคน” หรือ &ldquo...
update 13-11-68 : การกระทำแบบใดเรียกว่า การโยกย้ายงานที่ไม่เป็นธรรม
อภิญญา สุจริตตานันท์ อดีตอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการแรงงานสัมพั...